แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 เมื่อการซื้อขายได้กระทำตามข้อบังคับของตลาดทรัพย์จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1129 วรรคสองโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซื้อขายหุ้นตามคำสั่งของจำเลยโดยไม่ได้โอนชื่อให้จำเลย แต่มีหลักฐานลงไว้ในบัญชีทะเบียนผู้ถือหุ้นซึ่งระบุหุ้นทุกหุ้นที่โจทก์ซื้อแทนลูกค้าในแต่ละวัน ต่อมามีการคิดหักทอนบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ทวงถามแล้วไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินที่ค้างอยู่แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้และดอกเบี้ยเป็นเงิน 492,223.72 บาท จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ แต่การซื้อขายหุ้นนั้น โจทก์ไม่เคยซื้อหุ้นและไม่เคยโอนหุ้นให้จำเลย โดยโจทก์ซื้อหุ้นแล้วโอนชื่อเป็นของโจทก์ โจทก์หลอกลวงให้ขายหุ้นซึ่งไม่ใช่ของจำเลยทำให้โจทก์รับเงินจากจำเลยรวม 715,800.07 บาท การซื้อขายหุ้นที่โจทก์อ้างว่ากระทำแทนจำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ให้โจทก์ชำระเงิน715,800.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้หลอกลวงให้จำเลยขายหุ้น จำเลยซื้อเงินเชื่อจึงไม่จำเป็นต้องโอนหุ้นให้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน793,359.40 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญายกฟ้องแย้งของจำเลยจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 715,800.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่จำเลย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามหนังสือมอบอำนาจ โดยใช้เงินที่จำเลยกู้จากโจทก์จำนวน400,000 บาท นำไปใช้ซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยจะเป็นผู้ชำระเงินร้อยละ 30 ของราคาหลักทรัพย์ที่ซื้อได้ในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินกู้ร้อยละ 70 ของราคาหลักทรัพย์ ตามคำขอเสนอกู้เงินและสัญญากู้เงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ในการซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวโจทก์ไม่เคยโอนหุ้นให้จำเลย จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องแย้ง และจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อขายหลักทรัพย์แทนจำเลยหรือไม่ โจทก์มีนางสาวศรีนวล กวานานนท์ เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นสมุห์บัญชีของโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ จำเลยสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ ตามคำสั่งซื้อ และหุ้นที่ซื้อทั้งหมดจะมีการบันทึกไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่ได้แจ้งหมายเลขหุ้นให้จำเลยทราบ นางสาวนิรมล เหล่าเรืองธนา พยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความว่า พยานทำงานกับโจทก์ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการจัดการ จำเลยเป็นลูกค้าประเภทกู้เงินโจทก์เพื่อซื้อหลักทรัพย์มีลักษณะเป็นบัญชีเดินสะพัด จำเลยได้ให้โจทก์เอาหุ้นไปขายให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยได้เซ็นชื่อรับรองไว้ แต่ยังเป็นหนี้โจทก์อีก จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมายจ.2 นางอารยา อรุณานนท์ชัย พยานจำเลยเบิกความว่า พยานเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้จำเลย จำเลยให้โจทก์ซื้อหุ้นให้ แต่ไม่เคยโอนชื่อให้จำเลย โจทก์มีหลักฐานลงไว้ในบัญชีทะเบียนหุ้นซึ่งระบุหุ้นทุกหุ้นที่โจทก์ซื้อแทนลูกค้าในแต่ละวัน ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันมีเหตุผลรับกับพยานของจำเลย ฟังได้ว่า โจทก์ซื้อหุ้นไว้แทนจำเลยจำเลยจึงยอมขายหุ้นให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อนำเงินมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ เมื่อหักทอนบัญชีกันแล้ว จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ เชื่อได้ว่าโจทก์ซื้อขายหุ้นแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่หุ้นดังกล่าวใส่ชื่อโจทก์โดยมิได้มีชื่อจำเลยจะถือว่าโจทก์มิได้ซื้อหุ้นให้จำเลยหาได้ไม่ทั้งนี้เพราะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 เมื่อการซื้อขายหุ้นโจทก์ได้กระทำตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย คดีฟังได้ว่าโจทก์ซื้อขายหุ้นแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์ตามคำสั่งของจำเลย เมื่อมีการคิดบัญชีและหักทอนบัญชีกันแล้ว จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน429,359.40 บาท จำเลยผ่อนชำระหนี้ไปแล้ว 6 งวด ๆ ละ 6,000 บาทเป็นจำนวนเงิน 36,000 บาท ตามบันทึกรายการหนี้ จำเลยจึงคงค้างชำระหนี้เพียงจำนวน 393,359.40 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อหุ้นเพื่อโจทก์เอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์หนังสือรับสภาพหนี้จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแย้งนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น