แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยบังคับขู่เข็ญจนผู้เสียหายมีความกลัวต้องส่งเงิน(ธนบัตร)ให้และจำเลยได้รับไว้แล้ว ดังนี้ย่อมถือว่าเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จแล้ว ส่วนการที่จำเลยกลับฉีกธนบัตรเสียนั้นก็เป็นเรื่องที่มาเปลี่ยนเจตนาขึ้นในภายหลัง
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักธนบัตรฉบับละ 100 บาท 1 ฉบับของผู้เสียหาย ในการนี้ได้ขู่เข็ญจะทำร้ายผู้เสียหาย ๆ มีความกลัวจึงส่งธนบัตรดังกล่าวแล้วให้จำเลย ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 298ให้จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษตาม มาตรา 72 รวมเป็นโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือนกับให้คืนหรือใช้ทรัพย์ 100 บาท แต่มีความเห็นแย้ง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีผิดฐานชิงทรัพย์หรือลักทรัพย์
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว คงมีปัญหาแต่ว่าการที่จำเลยขู่เข็ญว่าจะทำร้าย บังคับให้ผู้เสียหายส่งเงินให้ 500 บาท ผู้เสียหายมีความกลัวส่งเงินให้เพียง100 บาท จำเลยรับแล้วกลับฉีกธนบัตร 100 บาทนั้นเสีย จะถือว่าจำเลยมีผิดฐานชิงทรัพย์ดังฟ้องหรือไม่เห็นว่าตามพฤติการณ์เรื่องนี้การที่จำเลยบังคับขู่เข็ญจนผู้เสียหายมีความกลัวต้องส่งเงินให้และจำเลยได้รับไว้แล้วนับว่าเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จ การที่จำเลยฉีกธนบัตรเสียนั้นเป็นเรื่องเปลี่ยนเจตนาภายหลัง
จึงพิพากษายืน