คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2818/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้เงินเป็นหนี้ประธาน ส่วนหนี้ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเป็นหนี้อุปกรณ์ แม้ในสัญญาจำนองจำเลยจะตกลงเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ อัตราร้อยละ 18 ต่อปี ก็มิใช่ว่าจำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 18 ต่อปี เสมอไป จำเลยจะรับผิดเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์เพียงใด ต้องดูข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินซึ่งเป็นหนี้ประธาน เมื่อโจทก์ยอมรับดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินอัตราร้อยละ12.75 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญากู้เงิน แม้ในสัญญากู้เงินจะระบุว่าหากภายหลังจากวันทำสัญญากู้เงิน จำเลยผิดนัดผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดหรือธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในจำนวนหนี้ที่จำเลยค้างชำระหนี้อยู่ตามสัญญากู้เงินนี้ในอัตราสูงสุดตามประกาศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกเก็บได้นับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับได้ตลอดไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จสิ้น โดยเพียงแต่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเท่านั้น จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่แจ้งนั้นทุกประการก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงข้อสัญญาให้โจทก์มีสิทธิเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยหรือเพิ่มดอกเบี้ย ขึ้นเท่านั้น มิใช่ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าในกรณีจำเลยผิดนัดสัญญากู้เงินอย่างเดียว เพราะต้องอยู่ในเงื่อนไขที่โจทก์จะสามารถเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดได้เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยด้วย ดังนั้นข้อสัญญาในส่วนนี้จึงมิใช่เบี้ยปรับ แม้จำเลยจะผิดสัญญากู้เงินในเวลาต่อมาจนโจทก์มีสิทธิ เรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดร้อยละ 18 ต่อปี ตามประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ แต่โจทก์ มิได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มดอกเบี้ย เงินกู้จากอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปี มาเป็นอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ให้จำเลยทราบตามที่ตกลงไว้ในสัญญากู้เงินถือได้ว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญากู้เงินโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน1,136,846.93 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18 ต่อปีเนื่องจากตามสัญญากู้ยืมได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12.75 ต่อปี การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18ต่อปี เป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กำหนดในสัญญากู้ยืมดอกเบี้ยทั้งหมดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตกเป็นโมฆะ และถ้ามีการบังคับจำนองโจทก์จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่า5 ปี หาได้ไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองโฉนดที่ดินเลขที่ 45112พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด และหากได้เงินจากการขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้นำเงิน 2,367.12 บาท มาหักออกจากดอกเบี้ยด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2536 จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 800,000 บาทดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปีตามสัญญากู้เงินเอกสารหมายจ.3 และได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 45112ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันโดยยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีตามสัญญาจำนองและหนังสือสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมายจ.4 จ.5 ต่อมาจำเลยได้ชำระดอกเบี้ย 2,367.12 บาท แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์อีก ระหว่างผิดนัดจนถึงวันฟ้องโจทก์มิได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์คิดสูงกว่าร้อยละ 12.75 ต่อปี ให้จำเลยทราบ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปี หรือไม่เพียงใดในปัญหานี้ จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปี พร้อมกันนั้นจำเลยได้ทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันสัญญากู้เงินของจำเลย โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละ 18 ต่อปี ดังนี้สัญญากู้เงินเป็นหนี้ประธาน ส่วนหนี้ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเป็นหนี้อุปกรณ์ แม้ในสัญญาจำนองจำเลยจะตกลงเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 18 ต่อปี ก็มิใช่ว่าจำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 18 ต่อปีเสมอไปจำเลยจะรับผิดเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์เพียงใด ต้องดูข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินซึ่งเป็นหนี้ประธาน เมื่อโจทก์ยอมรับดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปี อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญากู้เงินแม้ในสัญญากู้เงินจะระบุว่าหากภายหลังจากวันทำสัญญากู้เงินจำเลยผิดนัดผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดหรือธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในจำนวนหนี้ที่จำเลยค้างชำระหนี้อยู่ตามสัญญากู้เงินนี้ในอัตราสูงสุดตามประกาศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกเก็บได้ นับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับได้ตลอดไป จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จสิ้นโดยเพียงแต่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเท่านั้น จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่แจ้งนั้นทุกประการโดยไม่โต้แย้งคัดค้านประการใดทั้งสิ้น ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 เป็นเพียงข้อสัญญาให้โจทก์มีสิทธิเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยหรือเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นเท่านั้นมิใช่ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าในกรณีจำเลยผิดนัดสัญญากู้เงินอย่างเดียว เพราะต้องอยู่ในเงื่อนไขที่โจทก์จะสามารถเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดได้เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยด้วย ดังนั้น ข้อสัญญาในส่วนนี้จึงมิใช่เบี้ยปรับดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แม้จำเลยจะผิดสัญญากู้เงินในเวลาต่อมาจนโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดร้อยละ 18 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ แต่โจทก์มิได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปีมาเป็นอัตราร้อยละ 18 ต่อปีให้จำเลยทราบตามที่ตกลงไว้ในสัญญากู้เงิน ถือได้ว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญากู้เงิน โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18ต่อปีจากจำเลยได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 16 ต่อปี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 800,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share