แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องหาว่าจำเลยขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งให้จำเลยออกไปจากที่สาธารณประโยชน์ ได้บรรยายว่าที่สาธารณประโยชน์นั้นอยู่ตำบล อำเภอใด และวันเดือนปีที่จำเลยได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงาน อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับวันเวลา และสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิด อีกทั้งได้กล่าวถึงบุคคลและสิ่งที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จำเลยพอเข้าใจข้อหาได้แล้ว ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดีและหลงข้อต่อสู้ จึงไม่เคลือบคลุม (จำเลยอ้างว่า ฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยบุกรุกเมื่อใด ที่ที่บุกรุกอยู่ตรงไหน เนื้อที่เท่าใด ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อใด ประกาศให้ประชาชนทราบเมื่อใด ไม่ได้ประกาศในราชกิจจาฯ หรือออกเป็นพระราชกฤษฎีกา โจทก์ไม่เสนอประกาศมาพร้อมฟ้อง)
ที่สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ทั้งเป็นมาไม่น้อยกว่า 50 ปี มีมาก่อนประกาศบังคับให้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯ พ.ศ. 2478 ไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามหรือสงวนแต่ประการใด ทางราชการจะประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ
ฟ้องโจทก์กล่าวว่า ปลัดกิ่งอำเภอฯ ได้สั่งให้จำเลยรื้อถอนและออกจากที่สาธารณประโยชน์ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมเห็นได้ว่ามุ่งหมายเอาการสั่งของปลัดอำเภอเป็นสำคัญ ส่วนที่กล่าวถึงคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยนั้น เป็นแต่เพียงขยายความ จะถือว่าเมื่อปลัดอำเภอไม่ได้สั่งเองโดยลำพังแล้ว เท่ากับมิได้เป็นผู้สั่งหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเรือนอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งปลัดอำเภอหัวหน้ากิ่งอำเภอได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่เลี้ยงปศุสัตว์และสัตว์พาหนะอันจัดไว้สำหรับราษฎรไปรวมเลี้ยงด้วยกัน ปลัดอำเภอได้สั่งให้จำเลยรื้อไปเสียตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัด จำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ลงโทษ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะ เดิมเป็นของบิดาจำเลย ๆ ครอบครองมาด้วยกันกับที่มีโฉนด ต่อมาบิดายกให้จำเลย ๆ รับช่วงครอบครองมาเป็นเวลา ๓๔ ปีแล้ว จำเลยไม่เคยทราบประกาศและคำสั่งปลัดอำเภอไม่มีอำนาจออกคำสั่งประกาศและขึ้นทะเบียนแปรสภาพที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ หากประกาศจริงก็ทำภายหลังจำเลยครอบครองและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม แต่คำสั่งให้จำเลยรื้อเรือนออกจากที่พิพาทเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ โดยที่รัฐบาลยังมิได้ออกประกาศหวงห้ามหรือสงวนที่พิพาท จำเลยจึงยังไม่มีความผิด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม (จำเลยยกขึ้นในคำแก้อุทธรณ์) ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๔ (๒) อันมีมาก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯ พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้าม ดังฎีกาที่ ๑๐๔๔/๒๔๙๗ จำเลยทราบคำสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตามจึงมีความผิด
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งให้จำเลยออกไปจากที่สาธารณประโยชน์โดยหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเรือนอยู่ อันเป็นที่ซึ่งราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ได้บรรยายว่าที่ที่จำเลยบุกรุกอยู่ตำบลอำเภอใด วันเดือนปีที่จำเลยได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานด้วย อันเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับวันเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิด อีกทั้งได้กล่าวถึงบุคคลและสิ่งที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จำเลยพอเข้าใจข้อหาได้แล้ว ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) ทั้งเป็นมาไม่น้อยกว่า ๕๐ ปี ซึ่งมีมาก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯ พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามหรือสงวนแต่ประการใด การที่ทางราชการจะประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ จึงไม่ใช่สาระสำคัญ
ฟ้องโจทก์กล่าวไว้ว่า ร.ต.ดัด ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอวัดเพลง และนายมณี ปลัดอำเภอฯ ได้สั่งให้จำเลยรื้อถอนและออกจากที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้เห็นได้ว่า มุ่งหมายเอาการสั่งของปลัดอำเภอเป็นสำคัญ ส่วนที่กล่าวถึงคำสั่งของผุ้ว่าราชการจังหวัดด้วยนั้นเป็นเพียงการขยายความว่าเป็นการสั่งตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดอีกทอดหนึ่งเท่านั้น จะถือว่าเมื่อปลัดอำเภอไม่ได้สั่งเองโดยลำพังแล้ว เท่ากับมิได้เป็นผู้สั่งหาได้ไม่ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าปลัดกิ่งอำเภอวัดเพลงซึ่งมีฐานะเป็นผู้แทนนายอำเภอมีอำนาจสั่งจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทจึงมิใช่นอกฟ้องนอกประเด็น
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์