คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2668/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การลอย ๆ ว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการและมิได้โต้แย้งการที่ศาลชั้นต้นไม่ทำการไต่สวนให้ปรากฏว่ามีสัญญาระงับข้อพิพาทอยู่หรือไม่ แต่กลับต่อสู้คดีตามประเด็นที่โจทก์ฟ้องตลอดมาโดยมิได้ส่งหนังสือสัญญาการระงับข้อพิพาทต่อศาลเพื่อขอให้จำหน่ายคดี จำเลยเพิ่งจะส่งสำเนาสัญญาดังกล่าวต่อศาลในชั้นยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์แสดงว่า จำเลยมิได้ประสงค์จะขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10ศาลจึงไม่ต้องสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ฝ – 1169 กรุงเทพมหานคร ไว้จากนางพรพรรณ แก้วนิยมชัยศรี จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ คันหมายเลขทะเบียน 83 – 5164 นครปฐม จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อ จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 โดยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกอันเนื่องจากรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน 83 – 5164 นครปฐม แล่นไปตามถนนเพชรเกษมจากกรุงเทพมหานครมุ่งสู่จังหวัดราชบุรีด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ฝ – 1169 กรุงเทพมหานคร ทำให้รถทั้งสองฝ่ายเสียหาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวได้จัดการนำเข้าซ่อมแซมแล้ว เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเป็นเงิน61,446 บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิในค่าเสียหายดังกล่าวจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 1ต้องรับผิดในฐานะผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว กับเป็นนายจ้างหรือตัวการใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว จำเลยทั้งสามต้องร่วมกับชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,880 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 64,326 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 61,446 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 3 ให้การว่า เหตุคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ฝ – 1169 กรุงเทพมหานครฝ่ายเดียวหรือมีส่วนประมาทในครั้งนี้ด้วย รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ฝ – 1169 กรุงเทพมหานคร ได้รับความเสียหายเล็กน้อยค่าซ่อมแซมไม่เกิน 30,000 บาท จำเลยที่ 3 รับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 83 – 5164 นครปฐม ไว้จากจำเลยที่ 2จริง แต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด โจทก์และจำเลยที่ 3 มีสัญญาระงับข้อพิพาทกันโดยนำเสนอเรื่องต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการ โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,880 บาท

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3 ประการเดียวว่า โจทก์กับจำเลยที่ 3 มีสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 3จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ในกรณีที่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการกำหนดให้เสนอข้อพิพาททางแพ่งให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด หากคู่สัญญาฝ่ายใดนำคดีมาฟ้องโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเสียก่อนตามสัญญา คู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องก็อาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลก่อนวันสืบพยาน หรือก่อนมีคำพิพากษาในกรณีที่ไม่มีการสืบพยาน ให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีได้แต่คดีนี้คงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 3 ให้การลอย ๆ อ้างว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการ และมีนายสง่า ฮิมสกุล ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 3เบิกความเพียงว่าเมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนย่อมทำให้คดีระงับ แต่จำเลยที่ 3มิได้แสดงพยานหลักฐานต่อศาลให้เห็นว่า กรณีมีสัญญาระงับข้อพิพาทอยู่จริงดังอ้าง ทั้งมิได้โต้แย้งการที่ศาลชั้นต้นไม่ทำการไต่สวนให้ปรากฏว่ากรณีมีสัญญาระงับข้อพิพาทอยู่หรือไม่แต่กลับต่อสู้คดีตามประเด็นที่โจทก์ฟ้องตลอดมาโดยมิได้ส่งอ้างหนังสือสัญญาการระงับข้อพิพาทต่อศาลเพื่อขอให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 3 เพิ่งจะส่งสำเนาสัญญาการระงับข้อพิพาทต่อศาลในชั้นยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 3 หาได้ประสงค์จะขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 3 ไม่นำสืบให้เห็นว่ากรณีมีสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการอันจะทำให้โจทก์ต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share