แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนของตนให้แก่เขาโดยได้รับเงินมัดจำไว้แล้ว กลับเอาที่นี้ไปทำนิติกรรมยกให้แก่ผู้อื่นโดยเสน่หา อันเป็นทางให้ผู้ซื้อผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ผู้ซื้อชอบที่จะขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการยกให้นั้นได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาตกลงขายดินมีโฉนดเฉพาะส่วนแก่โจทก์และได้รับเงินมัดจำไปครั้นถึงกำหนดโอนจำเลยที่ 1 ขอผลัดแล้วกลับไปทำโอนให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นแก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองรู้ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้นี้เสีย ให้จำเลยที่ 1 โอนขายแก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยที่ 1 ให้การรับตามฟ้องเต็มใจโอนขายแก่โจทก์ไม่มีเจตนายกให้จำเลยที่ 2 เซ็นมอบฉันทะให้จำเลยที่ 2 เพื่อดูแลที่ดินแทน จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธและว่าจำเลยที่ 1 ตกลงขายให้ก่อนแล้วและมอบฉันทะไว้ให้ไปทำการโอน ได้ทำไปโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดที่ 682 ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 1 โอนขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา ฯลฯ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นอยู่เช่นนี้ (ไม่มีอะไรที่จะแสดงให้น่าเชื่อได้เลยว่าจำเลยที่ 2 ได้ซื้อที่ดินรายนี้จากจำเลยที่ 1 โดยแท้จริง) นิติกรรมการโอนที่ดินรายพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตามหลักฐานปรากฏว่าเป็นการยกให้กันอยู่แล้วอย่างชัดเจน จึงเป็นกรณีที่ทำยกให้กันโดยเสน่หา อันเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบโดยจำเลยที่ 1 รู้ดีอยู่ว่าได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ไปแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยทั้งสองนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
จึงพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น