คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5721/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นฎีกาให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่ขาดมาวางศาลภายใน15 วัน มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ไม่ติดใจฎีกาประกอบกับ มีข้อความท้ายฎีกาของโจทก์ปรากฏชัดว่าโจทก์รอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วโดยทนายโจทก์ลงชื่อเป็นผู้ฎีกาโดยโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นฎีกาโดยระบุในใบมอบฉันทะว่า นอกจากโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นฎีกา ต่อศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ยังมอบฉันทะในเรื่องอื่น ๆที่เกี่ยวข้องจนเสร็จการโดยโจทก์ยอมรับผิดชอบในการที่ผู้รับมอบฉันทะได้กระทำไปทุกประการ ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวในวันที่โจทก์ยื่นฎีกานั้นเอง โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ไม่ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว เนื่องจากทนายโจทก์อยู่กรุงเทพมหานคร และแบบพิมพ์ท้ายฎีกา ที่มีข้อความว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่า ทราบแล้วเป็นเพียงแบบฟอร์มที่ใช้ในศาลเท่านั้น โดยตัวโจทก์มิได้ลงชื่อรับทราบหาได้ไม่ การที่โจทก์มิได้นำเงินค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ในส่วนที่ขาดมาชำระต่อศาลชั้นต้น ในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจนกระทั่งล่วงเลยเวลา มาเป็นเวลานานถึง 1 เดือน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 แล้ว เมื่อมิใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์โดยผิดหลงหรือเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ส่งไปรับฎีกานั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นตรวจฎีกาของโจทก์และมีคำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232ประกอบมาตรา 247 แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเพียงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปยังศาลฎีกาตามมาตรา 252 เท่านั้น และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์แล้ว คดีย่อมไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งฎีกาอีกต่อไป ดังนี้แม้โจทก์จะนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่ยังขาดมาวางศาลโดยอ้างในคำร้องว่าเพิ่งทราบคำสั่งศาลที่ไม่รับฎีกา ก็เป็นการนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่ขาดมาวาง ศาลภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์แล้ว 5 วัน และหลังจากครบกำหนดที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ นำเงินมาวางศาลเป็นเวลานานถึง 21 วัน ก็โดยปราศจาก เหตุผลอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง ที่ไม่รับฎีกาและมีคำสั่งใหม่เป็นรับฎีกาของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองบางส่วนในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 10 ภายในกรอบเส้นสีเขียวในแผนพิพาท เนื้อที่รวม 6 ไร่ 2 งาน 13 ตารางวา ให้จำเลยปรับพื้นที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม รื้อถอนเสาซีเมนต์ รั้วลวดหนามและห้ามจำเลยขัดขวางการครอบครองของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 10 ในกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาท หมาย จ.11 ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองของโจทก์ และให้จำเลยปรับพื้นที่รื้อถอนเสาซีเมนต์และลวดหนามออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ว่าคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 18กุมภาพันธ์ 2540 ที่เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540 แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นรับฎีกาของโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เสียก่อน
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2540 ในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่าฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาเพียง 200 บาท ซึ่งไม่ถูกต้องจึงให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทมาให้ถูกต้องภายใน 15 วัน มิฉะนั้น ถือว่าไม่ติดใจฎีกา
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2540 ว่าศาลมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ถูกต้องภายใน15 วัน ซึ่งครบกำหนดวันที่ 28 มกราคม 2540 บัดนี้พ้นกำหนดเวลา 15 วันแล้ว โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยไม่เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพิ่มเติม ขอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ ศาลชั้นต้นให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2540 เจ้าหน้าที่ศาลทำบันทึกรายงานลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540 ว่า ตั้งแต่ศาลมีคำสั่งในฎีกาของโจทก์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาวางศาลจนบัดนี้พ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่งนานแล้ว โจทก์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลดังกล่าวมาวางศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540 ว่า โจทก์ไม่เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลที่เสียไว้แล้วให้โจทก์ทั้งหมด
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับฎีกา ขอให้ศาลรับค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมส่วนที่ขาดจำนวน 7,475.50 บาท และรับฎีกาของโจทก์โดยอ้างเหตุว่าไม่ทราบคำสั่งศาลที่ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 ว่า น่าเชื่อว่าโจทก์เพิ่งทราบคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 และโจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลส่วนที่ขาดมาวางศาลครบถ้วนในวันนี้แล้ว จึงไม่เกินเวลาที่ศาลกำหนดไว้ที่ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาเป็นการสั่งโดยผิดหลง จึงเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสียแล้วมีคำสั่งใหม่เป็น โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลกำหนด รับฎีกาของโจทก์ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 13 มกราคม 2540อันเป็นวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นฎีกาในฎีกาของโจทก์ว่าให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่ขาดมาวางศาลภายใน 15 วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์ไม่ติดใจฎีกา ประกอบกับมีข้อความท้ายฎีกาของโจทก์ปรากฏชัดว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วโดยทนายโจทก์ลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แม้โจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นฎีกาก็ปรากฏในใบมอบฉันทะลงวันที่ 13มกราคม 2540 ว่านอกจากโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นแล้วยังมอบฉันทะในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจนเสร็จการโดยโจทก์ยอมรับผิดชอบในการที่ผู้รับมอบฉันทะได้กระทำไปทุกประการ ดังนี้ จึงถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาลส่วนที่ขาดมาวางศาลในกำหนดเวลา 15 วัน ในวันที่ 13 มกราคม 2540 นั้นเองโจทก์จะอ้างว่าโจทก์ไม่ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเนื่องจากทนายโจทก์อยู่กรุงเทพมหานคร แม้แบบพิมพ์ท้ายฎีกาจะมีข้อความว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ก็เป็นเพียงแบบฟอร์มที่ใช้ในศาลเท่านั้น โจทก์มิได้ลงชื่อรับทราบหาได้ไม่ เพราะปรากฏชัดว่าทนายโจทก์ลงชื่อในฎีกาท้ายฎีกาของโจทก์แทนโจทก์ เมื่อความปรากฏต่อมาว่าโจทก์มิได้นำเงินค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ในส่วนที่ขาดมาชำระต่อศาลชั้นต้นในกำหนดเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจนกระทั่งล่วงเลยเวลามาเป็นเวลานานถึง 1 เดือนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540ไม่รับฎีกาของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 แล้ว กรณีมิใช่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์โดยผิดหลงหรือเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่งแต่ประการใดจึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะสั่งเพิกถอนได้แม้โจทก์จะนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่ยังขาดมาวางศาลเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 โดยอ้างในคำร้องว่าเพิ่งทราบคำสั่งศาลที่ไม่รับฎีกาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์2540 ก็เป็นการนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่ขาดมาวางศาลภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์แล้ว 5 วัน และหลังจากครบกำหนดที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำเงินมาวางศาลเป็นเวลานานถึง 21 วัน โดยปราศจากเหตุผลอันสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลชั้นต้นตรวจฎีกาของโจทก์และมีคำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 232 ประกอบด้วยมาตรา 247 แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเพียงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปยังศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 เท่านั้น และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540 แล้ว คดีย่อมไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งฎีกาอีกต่อไป แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 ให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับฎีกาและมีคำสั่งใหม่เป็นรับฎีกาของโจทก์ก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์

Share