คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4347/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทอยู่ในโซนซีของป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งกรมป่าไม้ยังมิได้ส่งมอบพื้นที่ให้แก่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน แม้จะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินออกมาแล้วแต่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดขอบเขตของที่ดินที่จะทำการปฏิรูปที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในทันที ยังคงป่าสงวนแห่งชาติอยู่เช่นเดิม ที่พิพาทจึงยังคงมีสภาพเป็นป่าสงวนแห่งชาติ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31, 35 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองแต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีและให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติศาลอุทธรณ์ภาค 1 (ปัจจุบันศาลอุทธรณ์ภาค 3) พิพากษายกฟ้องศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ที่ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง นั้น ได้มีพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 26(4) และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอคอนสวรรค์อำเภอบ้านเขว้า และอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่เกิดเหตุคดีนี้แล้วกรณีของจำเลยที่ 2 จึงถือได้ว่า มีบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2, 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับเพราะโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2538ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องในคดีนี้

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2ถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง ในความผิดฐานร่วมกับพวกบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอบ้านเขว้า และอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินด้วย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินพิพาทถูกเพิกถอนจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ โจทก์มีนายสุพรมทวีเงิน และนายสุปรีชา ศิวารัตน์ เบิกความในทำนองเดียวกันว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูแลนคาด้านทิศใต้ตำบลช่องสามสมอ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ตามแผนที่หมายจ.1 โดยพื้นที่อยู่ในโซนซี ตรงบริเวณที่จุดด้วยหมึกสีแดงไว้โดยพื้นที่โซนซียังมิได้ส่งมอบให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน และยังคงเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่กรมป่าไม้ยังต้องดูแลให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ตามเอกสารหมาย จ.2 ส่วนจำเลยที่ 2ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น เมื่อพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 26(4) บัญญัติว่า”ถ้าเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนใดแล้วเมื่อ ส.ป.ก. จะนำที่ดินแปลงใดในส่วนนั้นไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงนั้น ดังนั้น ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในโซนซีเมื่อยังมิได้มีการส่งมอบพื้นที่ให้แก่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน แม้จะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินออกมาแล้วก็ตาม พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดขอบเขตของที่ดินที่จะทำการปฏิรูปที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในทันที พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติยังคงเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติอยู่เช่นเดิม เมื่อที่พิพาทยังคงมีสภาพเป็นป่าสงวนแห่งชาติดังได้วินิจฉัยมาแล้วคดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 อีก ต่อไปเพราะจะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share