แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และผู้ร้องเป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อคดีนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด จึงฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาผูกมัดในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งนี้ไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน และสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระเงิน 140,427.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีแล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 584/20ตำบลสองห้อง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ของจำเลยที่ 1เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องโดยซื้อมาจากจำเลยที่ 1 และผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2527 ซึ่งเป็นวันซื้อขายและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปทำการจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 133/2532 ของศาลชั้นต้น ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทมาเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ให้โจทก์ยึดถือไว้ จำเลยที่ 1 ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องผู้ร้องไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 133/2532 ของศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาทแล้ว ทั้งคดีดังกล่าวผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 สมคบกันสร้างพยานหลักฐานเท็จแล้วนำคดีมาฟ้องโดยไม่มีมูลหนี้ที่จะบังคับกันได้ตามกฎหมายด้วยเจตนาที่จะยักย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้พ้นจากการบังคับคดีผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1และผู้ร้องเป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้ คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสำหรับผู้ร้อง คงลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1 จึงมีผลผูกพันโจทก์กับผู้ร้องเพราะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เห็นว่าผู้ร้องได้เบิกความว่าคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด จึงฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวมาผูกมัดในการพิจารณาคดีนี้ไม่ได้
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้ก่อนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 นั้น เห็นว่า การที่ผู้ร้องฎีกาดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน