คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2801/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ว. เจ้าของรถบรรทุกของกลางมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยนำรถบรรทุกดังกล่าวไปกระทำความผิดกฎหมาย ซึ่งโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านในข้อนี้จึงต้องฟังเป็นยุติตามนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาแล้ววินิจฉัยว่า ว. รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกซื้อรถบรรทุกของกลางจาก ว. เจ้าของเดิมที่มิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในกิจการของผู้ร้อง กรณีไม่อาจถือว่าผู้ร้องใช้สิทธิขอคืนรถบรรทุกของกลางโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของและมีสิทธิขอคืนรถบรรทุกของกลางได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 แต่ไม่ริบรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 7502 สมุทรปราการ ของกลาง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบรถบรรทุกของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถบรรทุกของกลาง คดีถึงที่สุดแล้ว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมรถบรรทุกของกลางเป็นของนายวิทยา ก้อนทรัพย์ ต่อมานายวิทยาให้จำเลยเช่าเพื่อบรรทุกสินค้า มิใช่เป็นกิจการของนายวิทยาหรือมีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลย ดังนั้น นายวิทยาจึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยชอบที่จะขอรับรถบรรทุกของกลางคืนได้ ต่อมาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ริบรถบรรทุกของกลาง นายวิทยาได้ขายรถบรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องในราคา300,000 บาท โดยนายวิทยาและจำเลยไม่ได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบเรื่องที่จำเลยนำรถบรรทุกของกลางไปกระทำความผิด ผู้ร้องเพิ่งมาทราบภายหลังว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาให้ริบรถบรรทุกของกลาง ขอให้สั่งคืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถบรรทุกของกลางและมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดกับจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถบรรทุกของกลางและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2542 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมยึดรถบรรทุกของกลางกล่าวหาว่าจำเลยใช้รถบรรทุกของกลางเป็นยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดต่อมาพนักงานสอบสวนอนุญาตให้นายวิทยา ก้อนทรัพย์ เจ้าของรถบรรทุกของกลางรับรถบรรทุกของกลางไปเก็บรักษาไว้ระหว่างสอบสวน วันที่ 30 มิถุนายน 2542 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 และขอริบรถบรรทุกของกลางจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย แต่ไม่ริบรถบรรทุกของกลางโจทก์อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 2 วันที่ 5 ตุลาคม 2542 นายวิทยาจดทะเบียนโอนขายรถบรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้อง วันที่ 19 มกราคม 2543 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ริบรถบรรทุกของกลางให้โจทก์และจำเลยฟัง คดีถึงที่สุด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกระทำเพื่อประโยชน์ของนายวิทยาโดยถือได้ว่านายวิทยาเจ้าของเดิมและผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนรถบรรทุกของกลางรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ในปัญหาในส่วนของนายวิทยาผู้เป็นเจ้าของรถบรรทุกของกลางในขณะจำเลยกระทำความผิดนั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่านายวิทยาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านในข้อนี้จึงต้องเป็นยุติตามนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาแล้ววินิจฉัยว่า นายวิทยารู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อรถบรรทุกของกลางมาจากนายวิทยาเจ้าของเดิมที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้ต่อทางราชการ ตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการเอกสารหมาย ร.1 ดังที่ผู้ร้องฎีกา ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของและมีสิทธิร้องขอคืนรถบรรทุกของกลางได้ เมื่อนายวิทยาไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวแล้ว กรณีจึงไม่อาจถือว่า ผู้ร้องใช้สิทธิร้องขอคืนรถบรรทุกของกลางโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share