คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 แม้จะเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามในเรื่องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสามและให้จำเลยทั้งสามนำพยานเข้าสืบต่อไป มิใช่อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม จำเลยทั้งสามก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวคือ จำเลยทั้งสามต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง หาใช่ไม่ต้องนำเงินมาชำระหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลไม่ เพราะการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามกระทำขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว เมื่อมีการอุทธรณ์เช่นนี้ย่อมทำให้การบังคับคดีล่าช้าออกไป อาจเสียหายแก่โจทก์ผู้ชนะคดีได้ จำเลยทั้งสามผู้อุทธรณ์จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวให้ครบถ้วน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 24,038,868.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้นำยอดเงินจำนวน 23,000,000 บาท และยอดเงินจำนวน 143,794.59 บาท ที่จำเลยที่ 1 ชำระเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 และวันที่ 17 พฤศจิกายน 2540 ตามลำดับไปหักชำระจากยอดหนี้ที่ค้างชำระด้วย ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เงินจำนวน 23,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 และชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 5,850 บาท และจำนวน 5,824 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2540 และวันที่ 30 มีนาคม 2541 ตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในยอดเงินต้นไม่เกินจำนวน 23,000,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมห้องชุดรวม 81 ห้องชุด ชื่ออาคารชุดเอื้อประชาคอนโดทาวน์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 6/2535 ตั้งอยู่ที่ดินโฉนดเลขที่ 195 และ 202 ตำบลลาดพร้าว อำเภอลาดพร้าว (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน และให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 25,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์ประวิงคดีและให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสามว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือคำสั่งยกเลิกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสามและมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามนำพยานเข้าสืบต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามว่า เป็นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้โจทก์มาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ เมื่อจำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยเสียเฉพาะค่าคำร้องอุทธรณ์จำนวน 200 บาท ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยทั้งสามไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่าการที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยทั้งสาม ไม่ใช่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงหาจำต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางไว้ต่อศาลไม่ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงไม่ชอบด้วยนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 บัญญัติว่า ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง เห็นว่า การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้น แม้จะเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามในเรื่องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสามและให้จำเลยทั้งสามนำพยานเข้าสืบต่อไป มิใช่อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม จำเลยทั้งสามก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวคือจำเลยทั้งสามต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง หาใช่ไม่ต้องนำเงินมาชำระหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลดังที่จำเลยทั้งสามฎีกาไม่ เพราะการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามกระทำขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว เมื่อมีการอุทธรณ์เช่นนี้ ย่อมทำให้การบังคับคดีล่าช้าออกไปอาจเสียหายแก่โจทก์ผู้ชนะคดีได้ จำเลยทั้งสามผู้อุทธรณ์จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวให้ครบถ้วน เมื่อจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 เช่นนี้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share