แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำขอท้ายฟ้อง ซึ่งมีความว่า “ให้จำเลยชำระค่าทำที่ดินให้เรียบร้อย ทำขอบกันดินเช่นแปลงอื่น และการยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบหลักเขตพร้อมปักหน้าเขตที่ดินใหม่ เป็นเงิน 25,000 บาท (สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน)” ตามคำขอเช่นนี้เป็นการขอบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 25,000 บาท เท่านั้น มิได้ขอบังคับให้จำเลยกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด การที่โจทก์ยังมิได้ดำเนินการดังกล่าวและเสียค่าใช้จ่ายก็เป็นเรื่องของโจทก์ในทำนองเดียวกันกับการเรียกค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมแซมทรัพย์สินไว้ก่อนโดยที่ยังไม่มีการซ่อมแซม ส่วนการที่โจทก์จะเรียกร้องเงิน 25,000 บาท จากจำเลยได้หรือไม่ เพียงใดนั้น ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีต่อไป กรณีไม่อาจแปลไปได้ว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คดีของโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และอยู่ในอำนาจศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังัคับจำเลยชำระเงินค่าจ้าง 170,516.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับจากวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินถึงวันฟ้องเป็นเงิน 29,046.26 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 170,516.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าทำที่ดินให้เรียบร้อย ทำขอบกันดินเช่นแปลงอื่นและการยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบหลักเขตพร้อมปักหลักเขตที่ดินใหม่ เป็นเงิน 25,000 บาท
จำเลยให้การว่า การบรรยายฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องขัดแย้งกันเอง คำขอท้ายฟ้องในข้อ 2 เป็นคำขอให้จำเลยดำเนินการทำขอบกันดินและยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบและปักเขตที่ดินใหม่ เป็นการขอให้จำเลยกระทำการ หากไม่กระทำก็ขอให้ชำระราคาแทนซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ที่ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าทำที่ดินให้เรียบร้อย ทำขอบกันดินเช่นแปลงอื่น และการยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบหลักเขตที่ดินใหม่ เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งระคนปนอยู่กับคดีมีทุนทรัพย์ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (4) กรณีไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องของโจทก์ให้จำเลยแล้ว จำเลยมิได้คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยหรือไม่ เห็นว่า เฉพาะคำขอท้ายฟ้องที่เป็นปัญหาคือคำขอข้อ 2 ซึ่งมีความว่า “ให้จำเลยชำระค่าทำที่ดินให้เรียบร้อย ทำขอบกันดินเช่นแปลงอื่น และการยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบหลักฐานเขตพร้อมปักหลักเขตที่ดินใหม่เป็นเงิน 25,000 บาท (สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน)” ตามคำขอเช่นนี้เป็นการขอบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 25,000 บาท เท่านั้น มิได้ขอบังคับให้จำเลยกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด การที่โจทก์ยังมิได้ดำเนินการดังกล่าวและเสียค่าใช้จ่ายก็เป็นเรื่องของโจทก์ในทำนองเดียวกันกับการเรียกค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมแซมทรัพย์สินไว้ก่อนโดยที่ยังไม่มีการซ่อมแซม ส่วนการที่โจทก์จะเรียกร้องเงิน 25,000 บาท จากจำเลยได้หรือไม่ เพียงใดนั้น ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีต่อไป กรณีไม่อาจแปลไปได้ว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คดีของโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ทั้งเรื่องและอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวง คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น และโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่เท่านั้น มิได้ขอให้ชนะคดีตามฟ้อง โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ และต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์