แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา 108,435.78 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แม้ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท เป็นเงิน 29,000 บาทแล้วแต่ก็เป็นเพียงผ่อนชำระดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยค้างชำระเงินต้นทั้งหมดและดอกเบี้ย 106,762.61 บาทจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาชำระหนี้โจทก์ หากให้จำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไปเดือนลำ 1,000 บาท กว่าจะหมดหนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีและจำเลยหาได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์สม่ำเสมอทุกเดือนไปไม่ บางครั้งสองเดือนหรือสามเดือนจำเลยจึงนำเงินมาชำระครั้งหนึ่ง ถ้าจำเลยมีความสุจริตใจหรือขวนขวายอย่างแท้จริงที่จะชำระหนี้ให้โจทก์หมดสิ้นไปโดยเร็วแล้วก็น่าจะชำระให้โจทก์อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนและเป็นจำนวนเงินมากกว่านี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยเด็ดขาดแล้ว จำเลยก็หาได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ไม่ทั้ง ๆ ที่มีเจ้าหนี้เพียงรายเดียวคือโจทก์ ดังนี้แม้มูลแห่งหนี้จะสืบเนื่องมาจากการค้ำประกันกรณีก็ยังไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
จำเลยให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นโจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจำนวน108,435.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์แล้วเป็นเงิน29,000 บาท คงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 8 มิถุนายน2529 รวมเป็นเงิน 160,762.61 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างใดที่จะยึดมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ คงมีแต่เงินบำนาญจากทางราชการเดือนละ 6,200 บาท ซึ่งโจทก์ไม่สามารถจะบังคับคดีจากเงินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย และหนี้ดังกล่าวนี้สืบเนื่องมาจากนางอำไพ แน่นหนาพนักงานการเงินของโจทก์เอาเงินของทางราชการไปใช้และทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมานางอำไพถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและไม่ชำระหนี้ให้โจทก์โจทก์จึงฟ้องจำเลย
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ก่อนฟ้องคดีนี้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท เป็นเงิน 29,000 บาท แล้ว แต่ก็เป็นเพียงผ่อนชำระดอกเบี้ยเท่านั้น ต้นเงินทั้งหมดและดอกเบี้ยยังค้างอยู่อีกมาก หากจะให้จำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไปเดือนละ 1,000 บาท กว่าจะหมดหนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายปี และตามที่โจทก์นำสืบมาโดยจำเลยมิได้โต้แย้งได้ความว่าจำเลยหาได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์สม่ำเสมอทุกเดือนไปไม่ บางครั้งสองเดือนหรือสามเดือนจำเลยจึงนำเงินมาชำระครั้งหนึ่ง ถ้าจำเลยมีความสุจริตใจหรือขวนขวายอย่างแท้จริงที่จะชำระหนี้ให้โจทก์หมดสิ้นไปโดยเร็วแล้ว ก็น่าจะชำระให้โจทก์อย่างสม่ำเสมอทุกเดือน และเป็นจำนวนเงินมากกว่านี้ด้วยเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว จำเลยก็หาได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ไม่ ทั้ง ๆ ที่จำเลยอ้างว่ามีเจ้าหนี้เพียงรายเดียวคือโจทก์เท่านั้น ฉะนั้นที่จำเลยนำสืบว่าบุตรของจำเลย 5 คน พร้อมที่จะออกเงินช่วยจำเลยผ่อนชำระหนี้คนละ 500 บาท ต่อเดือนรวมกับของจำเลยเองแล้วเป็นเงินเดือนละ 3,500 บาท นั้น จึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตร1 คน กับภรรยาอีก 1 คน ตามสำเนาทะเบียนบ้านที่แนบมาท้ายฎีกานั้นปรากฏว่าเป็นบุตรและภรรยาที่จำเลยเพิ่มได้มาใหม่ จึงไม่ใช่ข้ออ้างที่สมควร และศาลฎีกาเห็นว่า แม้มูลแห่งหนี้จะสืบเนื่องมาจากการค้ำประกัน กรณีก็ยังไม่มีเหตุอื่นที่จะไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย”
พิพากษายืน