คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์สร้างศูนย์การค้า และอาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่าและจำหน่ายจึงมีความจำเป็นต้องสร้างถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์ เพื่อให้บุคคลที่อยู่อาศัยในศูนย์การค้าและประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางออก นอกจากนี้โจทก์ยังจัดยามเฝ้าดูแล ถนนทางเข้าออกบริเวณศูนย์การค้าตลอดเวลา เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองถนนอยู่ และโจทก์อนุญาตให้จำเลยใช้ถนนและทางเท้าเข้าออกโรงแรมจำเลยซึ่งสร้างติดกับที่ดินโจทก์พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะยกถนนและทางเท้าดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยเกี่ยวกับคดีโจทก์เรื่องค่าเสียหายขาดอายุความไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วนั้นจำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอายุความเฉพาะการก่อสร้างชั้นลอยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์เท่านั้น มิได้ยกอายุความในเรื่องการก่อสร้างถนน และทำคันซีเมนต์ ปิดกั้นถนนหน้าโรงแรมจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยก่อสร้างโรงแรมบางกอกพาเลสเป็นอาคารสูง 15 ชั้น ในที่ดินเต็มเนื้อที่ มีอาณาเขตทางทิศใต้จดที่ดินโฉนดเลขที่ 1051 ของโจทก์ จำเลยก่อสร้างตัวอาคารแล้วเสร็จและเปิดกิจการมาได้ 2 ปีเศษ จำเลยได้ก่อสร้างอาคารชั้นสองเป็นชั้นลอยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยจากด้านทิศตะวันออกไปด้านทิศตะวันตกกว้างประมาณ 1 เมตรยาวประมาณ 71.50 เมตร ต่อมาจำเลยต่อเติมอาคารเป็นโครงเหล็กถาวรต่อจากส่วนอาคารชั้นลอยดังกล่าวตรงบริเวณส่วนกลางด้านทิศใต้ของโรมแรมจำเลยรุกล้ำเข้ามาอีกประมาณ 2 เมตร ยางประมาณ 54.10เมตร และจำเลยก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กทับบนถนนเดิมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1051 ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยขาดมาตรฐานในการรับน้ำหนักของยานพาหนะพื้นผิวไม่ราบเรียบ ไม่มั่นคงแข็งแรงซึ่งโจทก์ได้ก่อสร้างเป็นถนนทางเข้าออกในบริเวณศูนย์การค้านครหลวงไทยของโจทก์ ให้สูงกว่าถนนส่วนอื่นมีความยาวเท่ากับความยาวของโรงแรมบางกอกพาเลส แล้วจำเลยยังได้สร้างแนวคันซีเมนต์กั้นขวางบนถนน ซึ่งเป็นถนนของโจทก์และจำเลยใช้เป็นทางเข้าออกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารชั้นลอยและหลังคาโครงเหล็กต่อจากอาคารชั้นลอยของอาคารโรงแรมบางกอกพาเลส และรื้อถอนถนนคอนกรีตเสริมเหล็กคันซีเมนต์กั้นขวางบนถนนในที่ดินโฉนดเลขที่ 1051 ให้กลับอยู่ในสภาพถนนเช่นเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป หากจำเลยขัดขืนให้โจทก์ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ถนนและคันซีเมนต์ดังกล่าวได้ โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายแก่โจทก์ 800,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์อีกวันละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์และรื้อถอนถนนให้คืนสู่สภาพเดิม
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยก่อสร้างและโจทก์ไม่คัดค้านหากถือว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2521 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและที่ดินโฉนดเลขที่ 1051 ของโจทก์ โจทก์มีวัตถุประสงค์จะใช้เป็นถนนและทางเดินเท้าเพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ โดยเฉพาะหน้าโรงแรมของจำเลยซึ่งเป็นที่พิพาทโจทก์ตกลงให้เป็นที่จอดรถยนต์ของลูกค้าจำเลย โจทก์มีเจตนายกเป็นสาธารณประโยชน์ตามแบบแปลนการก่อสร้างศูนย์การค้านครหลวงไทยที่ได้ยื่นต่อทางราชการ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และเมื่อเดือนกันยายน 2526 น้ำท่วมกรุงเทพมหานครจำเลยจึงได้ยกถนนพิพาทให้สูงขึ้น โดยสร้างเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กถูกหลักวิชา ไม่ชำรุด พื้อผิวราบเรียบมั่นคงแข็งแรง ไม่เกิดความเสียหายแก่ถนนส่วนคันกั้นน้ำก้ไม่ทำให้ถนนทรุด โจทก์ไม่เสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อชั้นลอยของอาคารโรงแรมบางกอกพาเลสของจำเลยส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ซึ่งรวมทั้งรื้อกันสาดโครงเหล็กที่จำเลยสร้างต่อจากชั้นลอยดังกล่าวออกไปด้วย และรื้อค้นซีเมนต์ขวางถนนออกแล้วทำให้กลับอยู่ในสภาพถนนเช่นเดิม หากจำเลยไม่รื้อให้โจทก์รื้อออกได้ โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 54,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์อีกเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อสิ่งที่สร้างรุกล้ำทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ถนนและทางเท้าที่โจทก์สร้างขึ้นในบริเวณศูนย์การค้าโจทก์มีเจตนายกให้เป็นที่สาธารณะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์สร้างศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่าและจำหน่าย โจทก์จึงมีความจำเป็นต้องสร้างถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์เพื่อให้บุคคลที่อยู่อาศัยในศูนย์การค้าและประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางเข้าออก ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในกิจการค้าขายของผู้ที่เช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ ซึ่งถ้าหากโจกท์ไม่สร้างถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์ คงไม่มีผู้ใดไปเช่าหรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยและประกอบกิจการค้า นอกจากนี้โจทก์ยังจัดยามเฝ้าดูแลถนนทางเข้าออกบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ตลอดเวลา เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าอยู่ และจำเลยยอมรับว่าโจทก์อนุญาตให้จำเลยใช้ถนนและทางเท้าเข้าออกโรงแรมจำเลยซึ่งสร้างติดกับที่ดินของโจทก์ พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้มีเจตนาที่จะยกถนนและทางเท้าภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ให้เป็นทางสาธารณะ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริตนั้นเห็นว่า ประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในปัญหาที่ว่า การที่จำเลยก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กลงบนถนนเดิมและโครงเหล็กติดตัวอาคารรุกล้ำทางเท้า ไม่ทำให้โจทก์เสียหายนั้น ได้ความว่า จำเลยสร้างถนนหน้าโรงแรมจำเลยสูงกว่าถนนอื่นภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ และยังทำคันซีเมนต์กั้นเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าไปที่ถนนหน้าโรงแรมจำเลย เห็นว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยฝ่ายเดียวโดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ ทั้งถนนที่จำเลยเสริมสร้างให้สูงขึ้นเป็นถนนของโจทก์ และโจทก์ยังรับผิดชอบเกี่ยวกับถนนทั้งหมดภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 50,000บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้นเหมาะสมแล้ว ส่วนค่าเสียหายที่จำเลยสร้างโครงเหล็กรุกล้ำทางเท้าของโจทก์และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์อีก 4,000 บาทนั้น จำเลยมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ในปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยเกี่ยวกับคดีโจทก์เรื่องค่าเสียหายขาดอายุความไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วนั้น เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอายุความเฉพาะการก่อสร้างชั้นลอยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เท่านั้น มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในเรื่องการก่อสร้างถนน และทำคันซีเมนต์ปิดกั้นถนนหน้าโรงแรมจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรกศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share