แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีเดิม โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินให้ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายด้วยเหตุที่จำเลยนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้กับธนาคารแล้วไม่ไถ่จำนองจนในที่สุดมีการบังคับจำนองทำให้ไม่อาจโอนที่ดินนั้นให้โจทก์ได้ มิได้ฟ้องโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับในคดีที่ได้เคยฟ้องร้องกันมาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 12 ตำบลแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ เมื่อโจทก์จะขอให้บังคับคดีปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12 เพื่อบังคับจำนองตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 118/2524 ระหว่าง ธนาคารกรุงไทย จำกัดโจทก์จำเลยที่ 2 จำเลย โจทก์จึงไม่อาจขอให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของโจทก์ตามคำพิพากษาได้ จำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนองจนในที่สุดศาลได้ขายทอดตลาดที่ดินไป จำเลยทั้งสองรู้ว่าต้องโอนที่ดินให้โจทก์ แต่เอาที่ดินจำนองไว้กับธนาคารกรุงไทย จำกัดและปล่อยให้มีการบังคับจำนอง จนการชำระหนี้แก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยที่จะทำได้ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่การที่ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12 ให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อมาแล้วซึ่งศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุด ให้โจทก์ชนะคดี แต่โจทก์ไม่อาจบังคับคดีได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสองนำที่ดินจำนองเป็นประกันเงินกู้กับธนาคารและถูกธนาคารฟ้องบังคับจำนองเอาที่ดินขายทอดตลาดไปแล้ว ที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ได้เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นการฟ้องซ้ำ ที่ดินตามฟ้องมีราคาไม่เกินตารางวาละ 800 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพราะสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ระบุให้คิดดอกเบี้ย หารมีการผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือไม่ เห็นว่าคดีเดิมคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 115/2526 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นการฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นคดีนี้ เป็นฟ้องที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองนำที่ดินที่โจทก์เช่าซื้อไปจำนองไว้กับธนาคารแล้วไม่ไถ่จำนอง จนในที่สุดมีการบังคับจำนองนำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ทำให้ไม่อาจโอนที่ดินที่เช่าซื้อให้โจทก์ได้ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในคดีนี้ก็โดยอาศัยมูลเหตุที่จำเลยนำที่ดินที่เช่าซื้อไปจำนองไว้กับธนาคารแล้วไม่ไถ่จำนองจนทำให้ไม่อาจโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ได้มิได้ฟ้องโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับในคดีที่ได้เคยฟ้องร้องกันมาแล้ว จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องคดีกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ตามรูปคดี.