แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ ประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดเช่นนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคสอง และดอกเบี้ยที่ทบเข้ากับเงินต้นย่อมกลายเป็นต้นเงิน มิใช่ดอกเบี้ยค้างชำระ ทั้งนี้จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด เมื่อบอกเลิกแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดาหากไม่ชำระก็เป็นดอกเบี้ยค้างชำระหรือค้างส่ง ตามคำฟ้องของโจทก์เรียกดอกเบี้ยค้างชำระนับถึงวันฟ้องยังไม่เกินห้าปี สิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยค้างส่งของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความหรือขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งกู้เงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีภายในวงเงิน 25,000 บาท รวมทั้งดอกเบี้ยตลอดจนค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายต่าง ๆโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าก่อนทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาค้ำประกันในวันที่ 12 มกราคม 2513จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่แล้ว 25,514.53 บาทต่อมาวันที่ 26มิถุนายน 2513 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 48,939.41 บาท เห็นได้ว่ามีทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่ระคนปนกันอยู่ ความรับผิดของจำเลยที่ 2ย่อมจำกัดเพียงจำนวนเงิน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2513 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
การที่ ส. อดีตผู้จัดการสาขาของธนาคารโจทก์ซึ่งยอมรับผิดต่อโจทก์แทนลูกหนี้ของโจทก์รวมทั้งจำเลยทั้งสองได้ทำบันทึกขึ้นฝ่ายเดียวมีข้อความว่าโจทก์ลดหย่อนความรับผิดชอบในส่วนตัวของ ส. โดยให้ ส. ชำระเงินจำนวนหนึ่งและยอมปลดจำนองที่ดินให้ ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ยอมปลดหนี้ให้จำเลยทั้งสอง แต่ปรากฏชัดแจ้งว่าเป็นการลดหย่อนความรับผิดชอบส่วนตัวของ ส.ซึ่งจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 812 หาใช่ปลดหนี้ให้จำเลยทั้งสองไม่ จึงไม่มีทางที่จำเลยที่ 2จะอ้างว่าหนี้รายนี้ระงับไปแล้วโดยการประนอมหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ภายในวงเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๔ ต่อปี กำหนดส่งทุกวันสิ้นเดือน หากผิดนัดให้นำดอกเบี้ยชำระทบเข้ากับต้นเงินและให้ดอกเบี้ยนั้น กลายเป็นต้นเงินที่จะเสียดอกเบี้ยต่อไปตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ และสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ก็ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีนำเงินฝากเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้หลายครั้ง ต่อมาขาดการติดต่อ โจทก์คิดดอกเบี้ยเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ตลอดมาจนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ คงเป็นหนี้โจทก์๒๐๐,๔๒๙.๙๗ บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยรวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงิน ๒๐๔,๐๓๓.๓๓ บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ทั้งจะฟ้องเอาดอกเบี้ยค้างเกิน ๕ ปีไม่ได้ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว คดีขาดอายุความ และหนี้รายนี้ระงับไปแล้วโดยการประนอมหนี้ตามบันทึกลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ๒๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี โดยคิดทบต้นตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๓ถึงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ ต่อจากนั้นคิดธรรมดาไม่ทบต้นจนถึงวันที่ ๒๖มิถุนายน ๒๕๑๘
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน๒๐๐,๔๒๙.๙๗ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม๒๕๒๓ ไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์เรียกดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่าห้าปี ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ และโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่เริ่มทำสัญญา ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๕ ตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์อันมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ทำไว้มีข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดเช่นที่ว่านี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๕ วรรคสอง เมื่อโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ดอกเบี้ยที่ทบเข้ากับเงินต้นย่อมกลายเป็นต้นเงิน มิใช่ดอกเบี้ยค้างชำระ ทั้งนี้จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด คดีนี้โจทก์เพิ่งมีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๓โดยกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ภายใน ๗ วันนับแต่วันได้รับหนังสืออันถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นคงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา หากไม่ชำระก็เป็นดอกเบี้ยค้างชำระหรือค้างส่ง ตามคำฟ้องของโจทก์เรียกดอกเบี้ยค้างชำระตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม๒๕๒๓ นับถึงวันฟ้องยังไม่เกินห้าปี สิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยค้างส่งของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความหรือขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เฉพาะการกู้เบิกเงินเกินบัญชีภายในวงเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ถึงแม้จะมีดอกเบี้ย ค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ก็หมายถึงเฉพาะจากวงเงินค้ำประกันนั้น เห็นว่า สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงรับเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ซึ่งกู้เงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นจำนวนเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทโดยยอมรับผิดชอบชำระหนี้ดังกล่าวรวมทั้งดอกเบี้ยตลอดจนค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหมดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ปรากฏตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันว่าเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๒ ก่อนทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ ๑เป็นหนี้โจทก์อยู่ ๒๕,๕๑๔.๕๓ บาท เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญา ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์๔๘,๙๓๙.๔๑ บาท เห็นได้ว่าหนี้ของจำเลยที่ ๑ มีทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่ระคนปนกันอยู่ เพราะลำพังแต่การเบิกเงินเกินบัญชี ๒๕,๐๐๐ บาทนับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นชั่วระยะเวลา ๕ เดือนเศษ แม้จะไม่มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีกันเลย คำนวณอย่างไรยอดหนี้ก็ไม่มีทางที่จะเพิ่มเป็นเงิน ๔๘,๙๓๙.๔๑ บาท เมื่อจำเลยที่ ๒เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เฉพาะการกู้เบิกเงินเกินบัญชีภายในวงเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ย่อมจำกัดเพียงจำนวนเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๓ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า หนี้รายนี้ระงับไปแล้วโดยนายสุดใจ อดีตผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขายานนาวา ได้ตกลงชำระหนี้แทนลูกหนี้ต่าง ๆ รวมทั้งจำเลยทั้งสองด้วยเป็นการประนอมหนี้เสร็จสิ้นกันไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อีกไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารหมาย ล.๑๙ เป็นบันทึกที่นายสุดใจทำขึ้นฝ่ายเดียวมีข้อความว่า ธนาคารโจทก์ลดหย่อนความรับผิดชอบในส่วนตัวของนายสุดใจ โดยให้นายสุดใจชำระเงินจำนวนหนึ่งและยอมปลดจำนองที่ดินให้ ฯลฯเอกสารดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงว่าโจทก์ยอมปลดหนี้ให้จำเลยทั้งสอง ถึงหากโจทก์จะลดหย่อนความรับผิดชอบให้นายสุดใจ ข้อความในเอกสารก็ปรากฏชัดแจ้งว่าเป็นการลดหย่อนความรับผิดชอบส่วนตัวของนายสุดใจซึ่งจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๑๒หาใช่ปลดหนี้ให้จำเลยทั้งสองไม่ จึงไม่มีทางที่จำเลยที่ ๒ จะอ้างว่าหนี้รายนี้ระงับไปแล้วโดยการประนอมหนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้๒๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑๒มกราคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๓ และดอกเบี้ยธรรมดาไม่ทบต้นในอัตราเดียวกันนับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์