คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2788/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะขอเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (2) จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี คือ จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาในคดีนี้โดยตรง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดเป็นนิติบุคคล มีสิทธิและหน้าที่แยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น หากโจทก์ชนะคดี ผู้มีหน้าที่ต้องจัดการต่อไปตามผลของคดีคือจำเลยที่ 1 โดยกรรมการของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหาได้มีหน้าที่ต้องกระทำหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ตามคำพิพากษาไม่ สิทธิของผู้ร้องในฐานะผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ยังคงมีอยู่โดยสมบูรณ์เช่นเดิม ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ไม่อาจขอเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (2) ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องเข้าร่วมประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น และเป็นผู้ร่วมลงมติเห็นชอบในการประชุมดังกล่าว ซึ่งการประชุมดังกล่าวได้ดำเนินไปโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีคำพิพากษาย่อมผูกพันผู้ร้อง ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ให้ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ที่จะขอเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๗ (๒) จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ซึ่งหมายความว่าผลของคดีตามกฎหมายจะเป็นผลไปถึงตนโดยจะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือ ถูกบังคับโดยคำพิพากษาในคดีนี้โดยตรง ในเมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด เป็นนิติบุคคลมีสิทธิและหน้าที่แยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น มีกรรมการเป็นผู้ทำการแทน ดังนั้น หากโจทก์ชนะคดี ต้องเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๑ ผู้มีหน้าที่ต้องจัดการต่อไป ตามผลของคดีก็คือจำเลยที่ ๑ โดยกรรมการของจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๑ หาได้มีหน้าที่ต้องกระทำหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ต่อผลของคำพิพากษาที่โจทก์ขอบังคับด้วยไม่ สิทธิของผู้ร้องในฐานะผู้ถือหุ้นของ จำเลยที่ ๑ ยังคงมีอยู่โดยสมบูรณ์เช่นเดิม ผู้ร้องจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตามความหมายของ มาตรา ๕๗ (๒) นอกจากนี้ผู้ร้องก็อาจขอให้จำเลยทั้งสี่นำผู้ร้องและพยานหลักฐานที่ผู้ร้องมีเข้านำสืบอ้างส่งต่อศาล เป็นพยานฝ่ายจำเลยได้อยู่แล้ว ผู้ร้องหาจำเป็นต้องร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยไม่ ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share