คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบข่มขืนใจกรรโชกให้ผู้เสียหายมอบเนื้อกระบือชำแหละแล้ว140กิโลกรัมให้แก่จำเลยกับพวกมิฉะนั้นจำเลยกับพวกจะยึดเนื้อกระบือชำแหละแล้ว500กิโลกรัมไปตรวจสอบอันจะเป็นเหตุให้เนื้อดังกล่าวเสียหายและจะจับกุมผู้เสียหายกับพวกทำให้ปราศจากเสรีภาพผู้เสียหายกับพวกจึงยอมมอบเนื้อ140กิโลกรัมให้จำเลยกับพวกไปเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายโดยละเอียดครบถ้วนในลักษณะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา148และมาตรา337แล้วทั้งบทบัญญัติแห่งกฎหมาย2มาตราดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุองค์ประกอบความผิดว่าผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริตด้วยคำบรรยายฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องและได้ทรัพย์สินจากผู้เสียหายคิดเป็นเงิน6,000บาทกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา432คือจำเลยกับพวกต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นคำว่า’ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน’หมายความว่าแต่ละคนจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงอันมีฐานะเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งรับราชการเป็นตำรวจประจำแผนกกองกำกับการ 1กองปราบปราม และนายดาบตำรวจประคอง บุญธรรม ซึ่งรับราชการเป็นตำรวจประจำแผนก 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสันติบาลและยังหลบหนีอยู่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคดีอาญาได้ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจ กรรโชก นายชิต ปานพุ่มกับพวกซึ่งครอบครองดูแลรักษาเนื้อกระบือชำแหละแล้วจำนวน500 กิโลกรัม ของนางมณี ปานพุ่ม โดยร่วมกันตรวจค้นและกล่าวหาว่าเนื้อกระบือบางส่วนไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้มอบเนื้อกระบือจำนวน 140 กิโลกรัม แก่ตนและพวกอีก 2 คน หากไม่ยอมมอบให้จะยึดเนื้อกระบือจำนวน 500 กิโลกรัมไปตรวจสอบและจับกุมนายชิต ปานพุ่ม กับพวก อันจะเป็นเหตุให้เนื้อกระบือทั้งหมดเสียหายและส่งให้ลูกค้าไม่ทัน นายชิต ปานพุ่ม กับพวกจึงมอบเนื้อกระบือจำนวน140 กิโลกรัม ราคา 6,000 บาท ให้แก่จำเลยกับพวกไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 148, 337 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 6,000 บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 337, 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ประกอบด้วยมาตรา 90 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดให้จำคุก 5 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 6,000 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาสรุปได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาทุจริต จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่าฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจกรรโชกให้ผู้เสียหายมอบเนื้อกระบือชำแหละแล้ว 140 กิโลกรัม ให้แก่จำเลยกับพวกมิฉะนั้นจำเลยกับพวกจะยึดเนื้อกระบือชำแหละแล้ว 500 กิโลกรัม ไปตรวจสอบอันจะเป็นเหตุให้เนื้อดังกล่าวเสียหาย และจะจับกุมผู้เสียหายกับพวกปราศจากเสรีภาพ ผู้เสียหายกับพวกจึงได้ยอมมอบเนื้อ 140 กิโลกรัมให้จำเลยกับพวกไปเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายโดยละเอียดครบถ้วนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 337 ที่ขอให้ลงโทษแล้ว ทั้งบทกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุองค์ประกอบความผิดว่าผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริต คำบรรยายฟ้องคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฎีกาปัญหาข้อสองว่า ในการให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์นั้น จำเลยควรต้องรับผิดเพียง 1 ใน 4 เนื่องจากมีผู้ร่วมกระทำผิดร่วมกับจำเลยอีก 3 คน เห็นว่า จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องและได้ทรัพย์สินจากผู้เสียหายคิดเป็นเงิน 6,000 บาท กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 ที่บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ฯลฯ คำว่า “ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน” มีความหมายว่า แต่ละคนจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงอันมีฐานะเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์สินทั้งหมดที่จำเลยกับพวกได้ไปจากผู้เสียหายได้โดยมิต้องแบ่งส่วนให้จำเลยรับผิดตามจำนวนผู้กระทำผิด ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้นเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน

Share