คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2782/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ภารจำยอมอาจเกิดจากการยินยอมอนุญาตให้ใช้ทางในเบื้องต้นก่อนต่อมาเมื่อเริ่มใช้ทางแล้วหากผู้ใช้ได้ใช้ทางนั้นในลักษณะเป็นการใช้โดยถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า10ปีโดยเจ้าของทางมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของตนทั้งแสดงว่าได้ยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนต่อสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของตนโ่ดยสมัครใจแล้วการใช้ทางดังกล่าวจึงทำให้เกิดสิทธิภารจำยอมโดยอายุความได้ดังนั้นแม้โจทก์ที่1และที่3จะเบิกความว่าได้ขออนุญาตต. และค.เดิมในทางพิพาทก็น่าจะมีความหมายว่าเป็นการขออนุญาตเดินในตอนแรกๆเท่านั้นเมื่อโจทก์ทั้งสี่ได้ใช้ทางพิพาทเป็นเวลา40-50ปีโดยไม่ปรากฎว่าต. และค.ห้ามปรามหรือขัดขวางการใช้ทางพิพาทหรือบอกสงวนสิทธิในทางพิพาทแต่ประการใดนอกจากนี้หลังจากจำเลยทั้งสองซื้อที่ดินมาจากต. แล้วก็มิได้หวงห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทต่อไปแสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ยอมรับสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ในการใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกไปสู่ทางสาธารณะพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสี่ในการใช้ทางพิพาทของจำเลยทั้งสองในลักษณะเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการใช้ในลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทมิใช่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะตัวแต่อย่างใดเมื่อโจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า10ปีแล้วโจทก์ทั้งสี่ย่อมได้ภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสี่เดินและใช้ยานพาหนะผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองในที่ดินโฉนดเลขที่ 1553 ติดต่อกันมานานเกินกว่า10 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 ถมดินปิดกั้นทางเดินดังกล่าว ขอให้ที่ดินของจำเลยทั้งสองบริเวณทางพิพาทเป็นภาระจำยอมให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสี่ผ่านออกสู่ทางสาธารณะให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างห้ามขัดขวางการใช้สิทธิของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนสิทธิดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินและใช้ยานพาหนะผ่านเข้าออกในที่ดินของจำเลยทั้งสองติดต่อกันนานเกินกว่า 10 ปี ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินของจำเลยทั้งสองภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.1 ตกเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนสิทธิดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท กับห้ามกระทำการใด ๆอันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ที่ดินของจำเลยทั้งสองภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.1 (กว้าง 1 เมตรยาวประมาณ 34 เมตร) ตกเป็นทางภารจำยอม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3394 ของโจทก์ที่ 1 มีอาณาเขตด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1553 ของจำเลยทั้งสอง ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ที่ 1 ด้านทิศตะวันตกตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.2 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองมีว่า โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทเข้าออกติดต่อกันเกิน 10 ปี จนได้ภาระจำยอมแล้วหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ต่างเบิกความว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 3ได้ขออนุญาตนางตา และนายคล้ายเจ้าของที่ดินเดิมเดินผ่านทางพิพาทนางตาและนายคล้ายได้อนุญาตให้เดินในทางพิพาทแล้วโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ย่อมไม่ได้ภารจำยอมในทางพิพาท และเมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ต่างขออนุญาตนางตาและนายคล้ายเดินผ่านทางพิพาทแล้ว โจทก์ที่ 2 และที่ 4 ต่างก็ต้องขออนุญาตจากนางตาและนายคล้ายเดินผ่านที่พิพาทเช่นกัน พยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองนำสืบจึงรับฟังได้ว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอมนั้น เห็นว่า ภารจำยอมอาจเกิดจากการยินยอมอนุญาตให้ใช้ทางในเบื้องต้นก่อน และต่อมาเมื่อเริ่มใช้ทางแล้ว หากผู้ใช้ได้ใช้ทางนั้นในลักษณะเป็นการใช้โดยถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีโดยเจ้าของทางมิได้หวงห้างหรือสงวนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของตนทั้งแสดงว่าได้ยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนต่อสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของตนโดยสมัครใจแล้ว การใช้ทางในพฤติการณ์ดังกล่าวจึงทำให้เกิดสิทธิภารจำยอมโดยอายุความได้ ดังนั้น แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 จะเบิกความว่าได้ขออนุญาตนางตาและนายคล้ายเดินในทางพิพาทและนางตาและนายคล้ายอนุญาตก็ตาม ก็น่าจะมีความหมายว่าเป็นการขออนุญาตเดินในตอนแรก ๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาคำเบิกความของโจทก์ทั้งสี่ที่ว่า โจทก์ทั้งสี่ได้ใช้ทางพิพาทมาแล้วเป็นเวลา 40 ปี ถึง 50 ปี โดยไม่ปรากฎว่านางตา นายคล้ายและจำเลยทั้งสองได้ห้ามปรามหรือขัดขวางการใช้ทางพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ หรือบอกสงวนสิทธิในทางพิพาทแต่ประการใด นอกจากนี้ยังได้ความด้วยว่า เมื่อจำเลยทั้งสองซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากนางตาแล้วประมาณ 3 ปี จำเลยที่ 2 จึงปลูกบ้านในที่ดินทางด้านทิศใต้ โดยเว้นทางพิพาทไว้ตามสภาพที่เป็นอยู่แต่เดิม จำเลยทั้งสองเพิ่งจะนำดินมาถมทางพิพาทเมื่อปี 2537 แสดงว่า หลังจากจำเลยทั้งสองได้ที่ดินมาแล้วก็ยังคงมิได้หวงห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทต่อไป ทั้งเมื่อนายทนงศํกดิ์ อินทะ ปลัดอำเภอหล่มสักพยานโจทก์ทั้งสี่ไปตรวจสอบทางพิพาทและสอบถามจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าทางพิพาทเป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่ใช้และจำเลยทั้งสองได้นำดินมาถมทางพิพาทเพื่อปลูกบ้าน และเมื่อพยานแจ้งว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ยอมให้ใช้ที่ดินด้านทิศเหนือของจำเลยที่ 1 กว้างประมาณ1 เมตร เป็นทางเดินแทนทางพิพาทอีกด้วย แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ยอมรับถึงสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ในการใช้ทางพิพาทเป็นทางออกไปสู่ทางสาธารณะตามที่พยานไกล่เกลี่ย พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสี่ในการใช้ทางพิพาทของจำเลยทั้งสองในลักษณะเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการใช้ในลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาท มิใช่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะตัวแต่อย่างใด เมื่อได้ความว่าโจทก์ทั้งสี่ได้ใช้ทางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว โจทก์ทั้งสี่ย่อมได้ภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรบฟังได้ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share