คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2778/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนด โดยโจทก์ได้ปลูกสร้างบ้านและครอบครองทำประโยชน์ที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ด้านทิศเหนือเป็นส่วนสัดมานานกว่า 30 ปี จำเลยให้การว่า ไม่มีการตกลงให้แบ่งถือครองที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ครอบครองที่ดินแทนเจ้าของรวมคนอื่น ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินส่วนของตนเป็นส่วนสัดแล้วหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่อาจยกเอาการครอบครองเป็นส่วนสัดมากล่าวอ้างกับจำเลยเพราะจำเลยได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรับรู้ของจำเลยมาตั้งแต่มีการจดทะเบียนให้จำเลยเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินดังกล่าวซึ่งก่อนเกิดกรณีพิพาทแล้ว ดังนั้นจึงเป็นข้อที่จำเลยสามารถยกขึ้นในศาลชั้นต้นได้ เมื่อจำเลยมิได้กล่าวอ้างในคำให้การให้เป็นประเด็นไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น และไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1949 โดยโจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์จำนวน400 ส่วน ใน 6,928 ส่วน ส่วนที่เหลือโจทก์ที่ 1 กับจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง โจทก์ที่ 2 ได้ปลูกสร้างบ้านและครอบครองทำประโยชน์ ที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 2 ที่ด้านทิศเหนือของที่ดินเป็นส่วนสัดมานานกว่า 30 ปีแล้ว ส่วนที่ดินของเหลือโจทก์ที่ 1 กับจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยยังไม่ได้กำหนดส่วนสัดแน่ชัดโจทก์ทั้งสองมีความประสงค์จะขอแบ่งแยกที่ดินให้เป็นสัดส่วนที่แต่ละคนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ และได้แจ้งให้จำเลยไปร่วมดำเนินการขอรังวัดแบ่งแยกต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 1949 ให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามแนวเขตที่ดินที่โจทก์ที่ 2 ครอบครอง ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และส่วนที่เหลือจากนั้นให้แบ่งกันระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยคนละครึ่ง ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้ขายโดยวิธีประมูลราคาระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลย หากไม่สามารถประมูลกันเองก็ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง
จำเลยให้การว่า ไม่มีการตกลงให้แบ่งถือครองที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่โจทก์อ้าง การที่โจทก์ที่ 2 ปลูกบ้านและครอบครองทำประโยชน์ที่ดินเป็นเพียงการครอบครองที่ดินแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น และจำเลยไม่เคยได้รับการติดต่อจากโจทก์ให้ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปร่วมดำเนินการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดที่ 1949 ตามพื้นที่สีแดงในที่จำลองแผนที่ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ดินส่วนที่เหลือให้แบ่งกันระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยคนละครึ่ง ถ้าตกลงแบ่งกันไม่ได้ก็ให้ประมูลราคาขายกันระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลย หากยังไม่เป็นที่ตกลงกันก็ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังยุติว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับการยกให้ที่ดินจำนวน 1 ไร่ ของโฉนดที่ 1949ตามฟ้องจากนางหนูหน่ายเมื่อปี 2512 ในวันเดียวกันนางหนูหน่ายกับพวกได้ขายที่ดินส่วนที่เหลือของโฉนดดังกล่าวให้แก่บริษัทไทยอาคารจำกัด ต่อมาปี 2518 บริษัทไทยอาคารจำกัดขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 1 และบริษัทมหานครสินไพบูลย์จำกัด ต่อมาปี 2526 บริษัทมหานครสินไพบูลย์ จำกัด ขายส่วนของตนให้แก่จำเลย และวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 2 ครอบครองที่ดินทางทิศเหนือเป็นส่วนสัดตั้งแต่ได้รับการยกให้ตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ที่ 2 ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ตนครอบครอง การครอบครองของโจทก์ที่ 2 ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าครอบครองแทนจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับการยกให้ที่ดินตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8 แต่โจทก์ที่ 2 มิได้จดทะเบียนข้อเท็จจริงการครอบครองที่ดินทางทิศเหนือตามเอกสารหมาย จ.8 ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ดังนั้นโจทก์ที่ 2 ไม่อาจยกเอาการครอบครองตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8 มากล่าวอ้างกับจำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้ และเป็นข้อที่จำเลยไม่สามารถยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นได้ ทั้งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ 1949 โดยโจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์จำนวน 400 ส่วนใน 6,928 ส่วน ส่วน ที่เหลือโจทก์ที่ 1 กับจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง โจทก์ที่ 2 ได้ปลูกสร้างบ้านและครอบครองทำประโยชน์ที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 2 ด้านทิศเหนือของที่ดินตามรูปแผนที่พื้นที่สีแดงเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมานานกว่า 30 ปี จำเลยให้การว่า ไม่มีการตกลงให้แบ่งถือครองที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ที่ 2 ครอบครองที่ดินแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่า โจทก์ที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินส่วนของตนเป็นส่วนสัดแล้วหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้และปัญหา ว่าโจทก์ที่ 2ไม่อาจยกเอาการครอบครองเป็นส่วนสัดมากล่าวอ้างกับจำเลยเพราะจำเลยได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ 1949 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตนั้นอยู่ในความรับรู้ของจำเลยมาตั้งแต่มีการจดทะเบียนให้จำเลยเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินดังกล่าวซึ่งก่อนเกิดกรณีพิพาทแล้ว ดังนั้นจึงเป็นข้อที่จำเลยสามารถยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นได้ เมื่อจำเลยมิได้กล่าวอ้างในคำให้การให้เป็นประเด็นไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น และไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share