คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้นั้นเข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวที่จำเลยนำสืบว่า ปัจจุบันห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งจำเลยค้ำประกันหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ยังประกอบกิจการค้ามีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 40,000,000บาท มาเป็นเหตุผลประกอบพยานหลักฐานอื่นของจำเลยว่าจำเลยอยู่ในฐานะที่สามารถขวนขวายและมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายก็ตาม แต่ที่จำเลยอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. นั้น โจทก์ก็มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดแก่โจทก์โดยสิ้นเชิงโดยไม่ต้องคำนึงว่าหากลูกหนี้ร่วมคนอื่นชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยจะสามารถชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งหมดหรือไม่ เพราะการพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน จึงต้องพิจารณาเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วมผู้นั้นว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่นดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ใช้สิทธิบังคับเอาแก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ก็มิได้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใด จึงนำมาเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่เมื่อจำเลยได้รับเงินเดือนจากบริษัท 3 แห่ง แห่งละ 6,000 บาท แต่เงินเดือนดังกล่าวก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของจำเลยเดือนละ 3,000 บาท ส่วนที่เหลือให้แก่ภริยาและบุตร จึงไม่มีเงินเดือนเหลือชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ ศาลชอบที่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยให้การว่า จำเลยสามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ เพราะจำเลยประกอบกิจการค้า ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ศาลจังหวัดพิจิตรมีคำพิพากษาตามยอมให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการ จำเลย และนายสมพงษ์ ธีระเดชธำรง ร่วมกันชำระหนี้ 18,801,358.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน17,665,446.58 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ 150,000 บาท แก่โจทก์ โดยบุคคลทั้งสามต้องชำระหนี้ 2,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 10 เมษายน 2535 ส่วนที่เหลือต้องชำระให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 6 เดือน นับจากวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยและนายสมพงษ์กับทรัพย์จำนองของนางสิริรัตน์ ธีระเดชธำรง ซึ่งจำเลยเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของบุคคลทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมาย จ.2 และจ.3 แต่บุคคลทั้งสามมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์โดยขายทอดตลาดรวม 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2536 และวันที่ 20 ตุลาคม 2536 ปรากฏว่าได้เงินไม่พอชำระหนี้ คงเหลือค้างชำระ 12,038,950.56 บาท ตามสำเนาบัญชีแสดงการรับจ่ายครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าหลังจากขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองดังกล่าวซึ่งมีทรัพย์ของจำเลยรวมอยู่ด้วยแล้ว โจทก์สืบหาทรัพย์สินอื่นของจำเลยแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้

จำเลยนำสืบว่า โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในฐานะจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการ ปัจจุบันห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการประกอบกิจการค้า ตามภาพถ่าย (3 ภาพ) หมาย ล.20 (ที่ถูกหมาย ล.25) ทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการ มีมูลค่าประมาณ 40,000,000 บาท จำเลยนอกจากประกอบกิจการค้าส่วนตัวแล้วยังเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทตั้งเอี่ยมกี่ จำกัด และบริษัทธีระเดชธำรง จำกัด ซึ่งประกอบกิจการค้าเป็นสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในเขตอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จนถึงปัจจุบันตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.2 ภาพถ่ายหมาย ล.6 และสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.10 ภาพถ่ายหมาย ล.15 ตามลำดับ สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัททั้งสองดังกล่าวปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของจำเลย โดยที่ดินของจำเลยมูลค่าประมาณ 16,000,000 บาทและ 20,000,000 บาท ตามลำดับ จำเลยจึงมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก็มีการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์แต่ยังไม่พอชำระหนี้โดยค้างชำระ12,038,950.56 บาท ตามสำเนาบัญชีแสดงการรับจ่ายครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ซึ่งคิดถึงวันฟ้องคดีนี้คงค้างชำระ 13,980,355.02 บาท แสดงว่าจำเลยถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีแล้ว และโจทก์มีนายเสรี ชัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เป็นพยานเบิกความว่าหลังจากขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองดังกล่าวแล้ว โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลย พยานก็เป็นผู้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ จำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งคำเบิกความของนายเสรีดังกล่าว ข้อเท็จจริงในข้อนี้ฟังได้ว่าโจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีก็ดีและจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ก็ดี จึงเข้าข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาที่โจทก์นำสืบยังมีห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการ และนายสมพงษ์ธีระเดชธำรง ที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยชำระหนี้ที่คงเหลือค้างชำระให้แก่โจทก์ และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินอื่นของบุคคลทั้งสองเพื่อขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอื่นของบุคคลทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะจำเลยนำสืบยืนยันว่าปัจจุบันห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการยังประกอบกิจการค้า มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 40,000,000 บาท ดังศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยเกี่ยวกับกรณีนี้มาเป็นเหตุผลประกอบพยานหลักฐานอื่นของจำเลยว่าจำเลยนำสืบได้ว่าจำเลยอยู่ในฐานะที่สามารถขวนขวายชำระหนี้ได้ทั้งหมดและมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายก็ตาม แต่ที่จำเลยอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการและนายสมพงษ์นั้น โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดแก่โจทก์โดยสิ้นเชิงไม่ต้องคำนึงว่าหากลูกหนี้ร่วมอื่นชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยจะสามารถชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งหมดหรือไม่ เพราะการพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน จึงต้องพิจารณาเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วมผู้นั้นว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่น ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ใช้สิทธิบังคับเอาแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการและนายสมพงษ์ก็มิได้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใด จึงนำมาเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่ สำหรับที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทตั้งเอี่ยมกี่จำกัด และบริษัทธีระเดชธำรง จำกัด ซึ่งประกอบกิจการค้าเป็นสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า จำเลยได้รับเงินเดือนจากบริษัทดังกล่าวแห่งละ 6,000 บาท ต่อเดือน และได้รับเงินเดือนจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเสียงสวรรค์กลการอีกเดือนละ 6,000 บาท เท่านั้น แต่เงินเดือนดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของจำเลยเดือนละ 3,000 บาท ส่วนที่เหลือให้แก่ภริยาและบุตร จึงไม่มีเงินเดือนเหลือชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ และที่จำเลยนำสืบว่า สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของจำเลย ซึ่งที่ดินมีมูลค่ารวมกันประมาณ 36,000,000บาท ก็มีแต่จำเลยเบิกความดังกล่าวเพียงปากเดียว ไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงว่าเป็นเจ้าของที่ดินมาสนับสนุนให้น่าเชื่อได้เช่นนั้น จึงเป็นการเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ หามีน้ำหนักให้น่าเชื่อได้ไม่ ดังนี้ จำเลยจึงนำสืบไม่ได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ศาลจึงชอบที่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14

Share