คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทโจทก์จึงต้องฟ้องคชก.จังหวัดเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดด้วยทั้งนี้เพื่อให้คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องคชก.จังหวัดเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยและมิได้มีการเรียกคชก.จังหวัดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้จนล่วงเลยมาถึงชั้นฎีกาโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองขายที่นาพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดและปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่คู่ความไม่ต้องร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในกำหนด30วันนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกานี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่นาโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝกอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 37 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวาจากนายบุญมา อยู่สำราญ นางบุญมา อยู่สำราญ นายตอง ตุ้มทองคำและนางอุบล ตุ้มทองคำ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมานานกว่า 20 ปีโดยมิได้ทำหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ โจทก์ไม่เคยให้เช่าช่วงและชำระค่าเช่าครบถ้วนทุกปี ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2532 นายตองและนางอุบลขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน90 ตารางวา ให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยทราบดีว่าโจทก์เป็นผู้เช่าแต่ยังร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าไม่มีผู้เช่านายตองและนางอุบลไม่เคยบอกเลิกการเช่า ไม่เคยแจ้งการขายต่อโจทก์ทั้งมิได้ทำหนังสือแสดงความจำนงขายนาพร้อมทั้งระบุราคาและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลดอนแฝก (คชก.ตำบลดอนแฝก) อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 53 โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่นาคืนในราคาที่จำเลยทั้งสองซื้อเป็นเงิน 380,000 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาดในขณะนั้น และโจทก์แจ้งขอซื้อมาคืนแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์จึงทำหนังสือถึงประธาน คชก.ตำบลดอนแฝกเพื่อใช้สิทธิขอซื้อนาคืน คชก.ตำบลดอนแฝกมีมติให้โจทก์ซื้อนาคืนได้จำเลยทั้งสองและนายตองกับนางอุบลได้ร่วมกันยื่นอุทธรณ์ คชก.จังหวัดนครปฐม มีมติว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาคืนโดยเห็นว่า โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะซื้อคืนเพื่อใช้ทำนาเอง อันเป็นการวินิจฉัยมีมติโดยไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะรับฟังเฉพาะข้อเท็จจริงที่ได้จากตัวแทนของผู้ให้เช่า โดยไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่าโจทก์ไม่มีเจตนาซื้อคืนเพื่อใช้ทำนาเอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมเฉพาะส่วนเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา380,000 บาท และรับชำระราคาที่ดินดังกล่าวไป หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ก่อนขายที่นาพิพาท นายตองและนางอุบลได้เสนอขายที่นาเฉพาะส่วนของตนแก่โจทก์ โจทก์บอกปัดว่าโจทก์ชราทำนาไม่ไหว โจทก์มีที่นามากแล้ว ให้ขายแก่จำเลยทั้งสองไปโจทก์ให้นายสมจิตร สุขสำราญ บุตรเขยของโจทก์ทำนาและเก็บผลประโยชน์เท่ากับให้เช่าช่วง โจทก์ใช้สิทธิซื้อที่นาพิพาทไปขายเอากำไรเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ราคาที่นาพิพาทตามท้องตลาดขณะนั้นไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท ต่อไร่ รวมราคาเฉพาะส่วนที่ขายจะเป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,900,000 บาท นายตองและนางอุบลขายให้จำเลยทั้งสองราคาถูกเพราะจำเลยทั้งสองเป็นหลาย ไม่มีที่ดินทำกิน และหวังว่าจะให้จำเลยทั้งสองเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า โจทก์จึงไม่มีสิทธิซื้อคืนในราคา 380,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมเฉพาะส่วนของจำเลยทั้งสอง เนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวาให้แก่โจทก์ ในราคาไร่ละ 200,000 บาท โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินภายในกำหนด 6 นับแต่วันมีคำพิพากษา มิฉะนั้นให้ถือว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อที่นาพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ และ จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนขายที่นาพิพาทเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา เฉพาะส่วนของตนในที่ดินโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ 80,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และ จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า เดิมนายบุญมา อยู่สำราญ นางบุญมา อยู่สำราญนายตอง ตุ้มทองคำ นางอุบล ตุ้มทองคำเป็นเจ้าของรวมที่นาโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เนื้อที่37 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2532 นายตองและนางอุบลได้ขายที่นาดังกล่าวเฉพาะส่วนของทั้งสองคนเนื้อที่18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่านาส่วนนี้ให้แก่จำเลยทั้งสอง วันที 3 มิถุนายน 2532 โจทก์จึงทำหนังสือยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลดอนแฝก ขอซื้อที่นาดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองผู้รับโอนที่นาดังกล่าวในราคา 380,000 บาท ตามหนังสือเอกสารหมายจ.3 คชก. ตำบลดอนแฝก ประชุมกันเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2533โดยมีมติว่าโจทก์มีสิทธิซื้อที่นาจากจำเลยทั้งสองผู้รับโอนได้ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้หรือควรจะรู้หรือภายในกำหนด 3 ปี นับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้นตามสำเนารายงานการประชุมคชก.ตำบลดอนแฝก เอกสารหมาย จ.4 จำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลดอนแฝก ต่อ คชก.จังหวัดนครปฐม ต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2534 คชก.จังหวัดนครปฐมมีมติว่า โจทก์ผู้เช่ามิได้มีเจตนาที่จะซื้อที่นาคืนเพื่อใช้ทำนาเองเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงมีมติกลับคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลดอนแฝกเป็นโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่ามติของ คชก.จังหวัดนครปฐมดังกล่าวไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมเฉพาะส่วนเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา380,000 บาท เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงและตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนครปฐมกรณีเช่นนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดแต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย”ซึ่งหมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีหรือมีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดจะต้องฟ้องคชก.จังหวัด เพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด เพราะตราบใดคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย และหากโจทก์ไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดภายในกำหนดเวลาคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา 57 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 คดีนี้โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนครปฐมที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาท โจทก์จึงต้องฟ้องคชก.จังหวัดนครปฐมเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนครปฐมด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดนครปฐมได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้อง คชก.จังหวัดนครปฐม เพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยและมิได้มีการเรียก คชก.จังหวัดนครปฐมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้จนล่วงเลยมาถึงชั้นฎีกา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนครปฐมและปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่คู่ความไม่ต้องร้องขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้โดยลำพัง กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ทั้งฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสอง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ทั้งนี้โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

Share