คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศ ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย2 ครั้ง ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำร้ายร่างกายนางสุพัฒน์ แช่มรัมย์ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังกายตบตีและใช้ไม้ท่อน 1 ท่อน เป็นอาวุธตีผู้เสียหายถูกบริเวณต้นแขนซ้ายทำให้กระดูกต้นแขนซ้ายหักเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (ที่ถูกมาตรา 297(8)) จำคุก4 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทำร้ายร่างกายนางสุพัฒน์ แช่มรัมย์ผู้เสียหาย โดยใช้มือตบหน้า 2 ครั้ง และผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสกระดูกต้นแขนซ้ายหัก ต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยโกรธผู้เสียหายที่จะเอาโต๊ะขายก๋วยเตี๋ยวคืนได้ตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ผู้เสียหายเดินไปที่ร้านค้าซึ่งอยู่ข้างบ้านของจำเลย จำเลยเดินตามไปดึงผู้เสียหายกลับแล้วใช้ไม้ยาว 1 ศอกตีผู้เสียหายถูกบริเวณไหล่ด้านซ้าย เห็นว่า โจทก์มีเพียงผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานปากเดียว ไม่มีพยานอื่นสนับสนุน ไม้ที่อ้างว่าจำเลยใช้ตีก็ไม่ได้ยึดมาเป็นของกลาง ร้อยตำรวจเอกไพบูลย์เกลี้ยงอุทธา พนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าหลังจากผู้เสียหายมาแจ้งความพยานได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ ซึ่งตามบันทึกการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.4 ข้อ 10 ร้อยตำรวจเอกไพบูลย์บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสังเขปว่า ผู้เสียหายทะเลาะกับจำเลยเรื่องโต๊ะขายก๋วยเตี๋ยว จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ได้รับบาดเจ็บโดยมิได้บันทึกว่าจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายแต่ประการใด ซึ่งหากจำเลยกระทำเช่นนั้นผู้เสียหายย่อมจะแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกไพบูลย์ทราบและร้อยตำรวจเอกไพบูลย์ก็น่าจะบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสังเขปถึงกรณีดังกล่าวไว้ การที่กระดูกต้นแขนซ้ายของผู้เสียหายหักอาจเกิดจากผู้เสียหายวิ่งล้มลงดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้ก็ได้พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคสอง ข้อเท็จจริงคงฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวมากน้อยเพียงใด จึงฟังได้เพียงว่า การกระทำของจำเลยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ส่วนสาเหตุที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหายนั้นจำเลยเบิกความว่า ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นเหตุให้จำเลยโกรธจึงได้ตบหน้าผู้เสียหาย จำเลยมีนายชอบ กิ่งอินทร์กับนางสาวดวงอมร ธรรมเสนา เบิกความสนับสนุน ซึ่งผู้เสียหายเองก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยรับว่าได้พูดกล่าวหาเช่นนั้นจริง จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่จำเลยนำสืบ การที่ผู้เสียหายกล่าวหามารดาจำเลยเช่นนั้นเป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศ ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมการที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ประกอบด้วยมาตรา 72 ลงโทษปรับ 600 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 300 บาทจำเลยต้องขังมาเกินโทษปรับแล้วให้ปล่อยตัวไป

Share