คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยใช้มือตบหน้าเพียง 2 ครั้งส่วนการที่กระดูกต้นแขนซ้ายของผู้เสียหายหักอาจเกิดจากผู้เสียหายวิ่งล้มลง มิได้เกิดจากจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายดังที่โจทก์อ้าง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวมากน้อยเพียงใด จึงฟังได้เพียงว่า การกระทำของจำเลยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 และการที่ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศ ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2ครั้ง ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จำคุก 4 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทำร้ายร่างกายนางสุพัฒน์ แช่มรัมย์ ผู้เสียหาย โดยใช้มือตบหน้า 2 ครั้งและผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสกระดูกต้นแขนซ้ายหักต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยโกรธผู้เสียหายที่จะเอาโต๊ะขายก๋วยเตี๋ยวคืน ได้ตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ผู้เสียหายเดินไปที่ร้านค้าซึ่งอยู่ข้างบ้านของจำเลย จำเลยเดินตามไปดึงผู้เสียหายกลับแล้วใช้ไม้ยาว 1 ศอก ตีผู้เสียหายถูกบริเวณไหล่ด้านซ้าย เห็นว่าโจทก์มีเพียงผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานปากเดียว ไม่มีพยานอื่นสนับสนุน ไม้ที่อ้างว่าจำเลยใช้ตีก็ไม่ได้ยึดมาเป็นของกลาง ร้อยตำรวจเอกไพบูลย์เกลี้ยงอุทธา พนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าหลังจากผู้เสียหายมาแจ้งความพยานได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ ซึ่งตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 10 ร้อยตำรวจเอกไพบูลย์บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสังเขปว่า ผู้เสียหายทะเลาะกับจำเลยเรื่องโต๊ะขายก๋วยเตี๋ยว จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ได้รับบาดเจ็บ โดยมิได้บันทึกว่าจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายแต่ประการใด ซึ่งหากจำเลยกระทำเช่นนั้น ผู้เสียหายย่อมจะแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกไพบูลย์ทราบและร้อยตำรวจเอกไพบูลย์ก็น่าจะบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสังเขปถึงกรณีดังกล่าวไว้ การที่กระดูกต้นแขนซ้ายของผู้เสียหายหักอาจเกิดจากผู้เสียหายวิ่งล้มลงดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้ก็ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองข้อเท็จจริงคงฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวมากน้อยเพียงใดจึงฟังได้เพียงว่า การกระทำของจำเลยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ส่วนสาเหตุที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหายนั้น จำเลยเบิกความว่า ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นเหตุให้จำเลยโกรธจึงได้ตบหน้าผู้เสียหายจำเลยมีนายชอบ กิ่งอินทร์ กับนางสาวดวงอมรธรรมเสนา เบิกความสนับสนุนซึ่งผู้เสียหายเองก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยรับว่าได้พูดกล่าวหาเช่นนั้นจริง จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่จำเลยนำสืบ การที่ผู้เสียหายกล่าวหามารดาจำเลยเช่นนั้นเป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้งในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391ประกอบด้วยมาตรา 72 ลงโทษปรับ 600 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงปรับ 300 บาท จำเลยต้องขังมาเกินโทษปรับแล้วให้ปล่อยตัวไป

Share