แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสและเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งมีวัตถุประสงค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาและรับเด็กยากจนมาอาศัยอยู่ที่วัดเพื่อส่งเสียให้ได้รับการศึกษา ดังนั้น การอบรมให้เด็กเหล่านั้นประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดีตามหลักพุทธศาสนาและตั้งใจศึกษาเล่าเรียนย่อมอยู่ในวัตถุที่ประสงค์ของมูลนิธิด้วย แม้ด้านการเงินของมูลนิธิแยกออกจากวัดเพราะมีฐานะเป็นนิติบุคคลแตกต่างกัน แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิย่อมต้องอบรมสั่งสอนผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเด็กหญิงชาวเขาที่จำเลยที่ 1 รับมาอยู่ในความดูแลของตนที่วัดให้ปฏิบัติดีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นั้น ทั้งมูลนิธิก็ตั้งอยู่ในอาณาเขตของวัด ผู้เสียหายย่อมต้องเชื่อฟังจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสดังเช่นที่เป็นศิษย์วัดอีกสถานหนึ่ง เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ดูแลผู้เสียหายในฐานะเป็นครูอาจารย์ดูแลเด็กนักเรียนในปกครองกับในฐานะเจ้าอาวาสดูแลศิษย์ไปพร้อมๆ กัน การที่จำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำต่อศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 277, 279, 281, 282, 285, 91, 86, 83, 80
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายตะหม่อกุ นายแอ๊โพ นางเผล่อเผล่อ และนางส่วยกา บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เสียหายที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ตามลำดับ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกว่า โจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 4 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 277 วรรคสอง (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย), 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 279 วรรคสอง, 285 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83, 282 วรรคสอง (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย) 282 วรรคสาม จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83, 282 วรรคแรก, 282 วรรคสอง (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย), 282 วรรคสาม จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสาม จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก, 282 วรรคสอง จำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล จำคุก กระทงละ 8 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 56 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล จำคุกกระทงละ 12 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 84 ปี ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล จำคุก 8 ปี ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี รวมจำคุก 160 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุก 3 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 20 ปี รวมจำคุก 31 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี จำคุก 7 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 9 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 28 ปี ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี ลงโทษจำเลยที่ 5 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุก 3 ปี ลงโทษจำเลยที่ 6 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง จำคุก 1 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 4 ปี ลงโทษจำเลยที่ 7 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นให้ยก สำหรับจำเลยที่ 8 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา โดยศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 เฉพาะความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า …จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 ไม่ใช่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 1 แต่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิหลวงพ่อภาวนาพุทโธ ซึ่งมีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการแยกจากกันคนละส่วนกับวัดสามพรานที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสนั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อพุทโธภาวนา กับเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิในปี 2526 เมื่อมูลนิธิมีวัตถุประสงค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาและรับเด็กยากจนมาอาศัยอยู่ที่วัดสามพรานเพื่อส่งเสียให้ได้รับการศึกษา การอบรมให้เด็กเหล่านั้นประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดีตามหลักพุทธศาสนาและตั้งใจศึกษาเล่าเรียนย่อมอยู่ในวัตถุที่ประสงค์ของมูลนิธิด้วย แม้การเงินของมูลนิธิแยกออกจากวัดเพราะมีฐานะเป็นนิติบุคคลแตกต่างกัน แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิย่อมต้องอบรมสั่งสอนผู้เสียหายทั้งแปดซึ่งอยู่ในความดูแลของตนให้ปฏิบัติดีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นั้น มิให้เงินที่ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาของเด็กยากจนสิ้นเปลืองเปล่า เมื่อมูลนิธิมาก่อตั้งภายในอาณาเขตวัดสามพราน เด็กๆ รวมทั้งผู้เสียหายทั้งแปดย่อมต้องเชื่อฟังจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสวัดสามพรานดังเช่นที่เป็นศิษย์วัดอีกสถานหนึ่ง กล่าวได้ว่า จำเลยที่ 1 ดูแลผู้เสียหายทั้งแปดในฐานะเป็นครูอาจารย์ดูแลนักเรียนในปกครองกับฐานะเจ้าอาวาสดูแลศิษย์ไปพร้อมๆ กัน ผู้เสียหายที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 ก็เบิกความยืนยันสนับสนุนว่า เมื่อเข้ามาอยู่ที่วัดสามพรานได้ไปกราบจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 บอกว่าให้ตั้งใจเรียนอย่าดื้อแล้วจะส่งไปเรียนที่โรงเรียนสามพรานวิทยาโดยจะออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นผู้ดูแลเด็กหญิงชาวเขาซึ่งมาอยู่ที่วัดประมาณ 20 คน ไว้จริง ฟังได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 เป็นศิษย์อยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 1 สำหรับฎีกาข้ออื่นจำเลยที่ 1 และที่ 3 นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นมิใช่ข้อสาระสำคัญและไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล และจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน