คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 277/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้ตายมีสาเหตุกันมาก่อน ในวันเกิดเหตุได้มีการท้าทายกัน แล้วผู้ตายแสดงกิริยาจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยชักปืนยิงถูกผู้ตาย 1 นัดก่อนผู้ตายจะเข้าถึงตัว ครั้นเมื่อผู้ตายเข้าประชิดตัวจำเลยและแทงจำเลยได้ จำเลยก็ยิงผู้ตายอีก 3 นัด เมื่อเหตุเกิดจากการสมัครใจต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวหาได้ไม่ พฤติการณ์ที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนยิงนายสมพงษ์ถึงแก่ความตาย
จำเลยให้การว่า ผู้ตายใช้มีดแทงจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้ปืนยิงป้องกันตัวไปพอสมควรแก่เหตุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ให้จำคุก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว คดีมีข้อวินิจฉัยว่า การที่จำเลยใช้ปืนยิงนายสมพงษ์ถึงแก่ความตายนั้น เป็นการป้องกันตัว หรือเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ปรากฏตามคำพยานโจทก์ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุว่าจำเลยกับนายสมพงษ์ผู้ตายได้พูดจาท้าทายกันก่อนแล้วจึงเกิดต่อสู้กัน ทั้งนี้ เพราะจำเลยกับผู้ตายมีสาเหตุกันมาก่อน นายแจ้วพยานจำเลยก็ว่า ในตอนผู้ตายเข้าไปแทงจำเลย ผู้ตายร้องว่า แน่หรือ และจำเลยร้องว่า แน่ซี่ ซึ่งแสดงว่าได้มีการพูดเชิงท้าทายกันด้วย เป็นการเจือสมคำพยานโจทก์ในข้อสาเหตุเดิม จำเลยก็รับว่ามีจริง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ได้มีการท้าทายกันจริง และปรากฏว่าจำเลยมีบาดแผลถูกแทงที่บริเวณนอกราวนมขวาเป็นรอยผิวหนังขาดยาวประมาณ ๑ นิ้วครึ่ง กับที่แขนขวาด้านในยาวราว ๗ นิ้ว ลึกราว ๒ นิ้ว แสดงว่าผู้ตายแทงจำเลยไม่ได้ถนัด และนายอรุณพยานโจทก์ว่าผู้ตายบอกนายอรุณก่อนตายว่าแทงจำเลยได้ทีเดียว คดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่าเหตุเกิดจากการท้าทายกัน แล้วผู้ตายแสดงกิริยาจะข้าทำร้ายจำเลย จำเลยได้ชักปืนยิงถูกผู้ตาย ๑ นัดก่อนที่ผู้ตายจะเข้าถึงตัว ครั้นเมื่อผู้ตายเข้าประชิดตัวจำเลยและแทงจำเลยได้ จำเลยก็ยิงถูกผู้ตายอีก ๓ นัด เมื่อเหตุเกิดจากการสมัครใจต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตัวหาได้ไม่ พฤติการณ์ที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
พิพากษายืน.

Share