คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 277/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยถูกลงโทษคดีถึงที่สุดในเรื่องแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จว่า โจทก์รับสิ่งของไว้โดยรู้ว่า เป็นสิ่งของที่หลีกเหลี่ยงอากรขาเข้าจนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกฟ้องในคดีอาญาเช่นนี้ ถือว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายทดแทนเพื่อเหตุละเมิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420, 438 และในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง เรื่องนี้ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา คือ ฟังว่าจำเลยได้แจ้งความเท็จและเบิกความเท็จจริง เมื่อจำเลยยังต่อสู้ในเรื่องค่าเสียหายอยู่ ศาลจะต้องฟังพยานของคู่ความต่อไป เฉพาะในเรื่องจำนวนค่าเสียหายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนทำให้พนักงานสอบสวนหลงเชื่อ ทำการสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการฟ้องโจทก์กับพวกในคดีอาญาหาว่ารับสิ่งของไว้โดยรู้ว่าเป็นสิ่งของที่หลีกเหลี่ยงอากรขาเข้าและจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีอาญา นั้น แต่ศาลไม่เชื่อพยานโจทก์จึงพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานสมคบกันแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ จำเลยทั้งสองรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง คดีถึงที่สุด เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรวม ๕๓,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยและให้ประกาศหนังสือพิมพ์ถึงความบริสุทธิ์ของโจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่า เป็นความจริงดังโจทก์ฟ้องและโจทก์เสียหายจริงตามฟ้อง แต่จำเลยไม่มีเงินใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่๒ ให้การรับว่า ได้แจ้งความและเบิกความเท็จและถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จจริง แต่ต่อสู้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ เพราะเจ้าพนักงานจับกุมโจทก์ก็โดยได้รับแจ้งจากสายลับและว่าค่าเสียหายอย่างมากไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้อง คำให้การและสอบถามโจทก์ว่า จะสืบพยานว่าอย่างไร โจทก์แถลงว่า จะขอสืบพยานตามฟ้องตลอดถึงค่าเสียหายด้วย ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิจารณายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ทั้งศาลก็ได้พิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา และวินิจฉัยได้แล้วว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์โดยตรง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตามที่โจทก์เสียหาย ในคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องนั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๐, ๔๓๘ แต่จำเลยที่ ๒ ยังปฏิเสธจำนวนค่าเสียหายอยู่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน ๒ ฝ่าย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว จำเลยที่ ๑ รับสารภาพตามฟ้อง ไม่มีข้อต่อสู้ประการใดเลย แม้จำเลยที่ ๒ ก็รับตามฟ้อง ปฏิเสธแต่จำนวนค่าเสียหาย กับต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา คือ ฟังว่า จำเลยได้แจ้งความเท็จและเบิกความเท็จจริง ซึ่งการกระทำดังนี้เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายทดแทนเพื่อเหตุละเมิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๔๐, ๔๓๘ และศาลจะต้องฟังพยานของคู่ความต่อไปเฉพาะในเรื่องจำนวนค่าเสียหายเท่านั้น เพราะจำเลยที่ ๒ ปฏิเสธอยู่
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share