คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 669/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่ามีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของอ้อยร่วมกับจำเลยขอแบ่งค่าอ้อยซึ่งจำเลยขายได้ อันเป็นส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่ง ดังนี้ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วไม่จำต้องกล่าวว่าเป็นเจ้าของร่วมกันโดยทางใด ซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป ถ้าจำเลยต้องการทราบรายละเอียดในข้อนี้ในวันชี้สองสถานหรือก่อนวันนั้น จำเลยมีสิทธิขอให้ศาลสอบถามโจทก์ให้แถลงในข้อนี้ได้ จำเลยเพิ่งจะมาคัดค้านในตอนสืบพยานโจทก์ไปแล้วย่อมทำไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของอ้อยร่วมกันปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลย จำเลยได้ตัดอ้อยขายได้เป็นเงิน 1,775 บาท หักค่าลูกจ้างแล้ว คงเหลือเงิน 1,725 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ โจทก์จำเลยมีสิทธิคนละ 1 ส่วน จำเลยไม่ยอมแบ่ง จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้การปฏิเสธว่าอ้อยรายนี้เป็นของจำเลยปลูกขึ้นเอง เมื่อขายอ้อยแล้วไม่มีกำไรเหลือ ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงปลูกอ้อยร่วมกันเพื่อแบ่งกันกิน แต่ไม่ได้ตกลงว่าใครมีส่วนเท่าใดจึงต้องสันนิษฐานว่ามีส่วนเท่ากันพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ 725 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้กล่าวอ้างถึงที่มาแห่งกรรมสิทธิ์ร่วมว่า ได้มีขึ้นโดยทางใด

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งค่าอ้อย ซึ่งจำเลยได้ขายอันเป็นส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่ง และเหตุที่ขอแบ่ง ก็โดยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันอันเป็นหลักฐานแห่งข้อหา สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่ว่าเป็นเจ้าของร่วมกันโดยทางใดนั้นเป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป ถ้าจำเลยต้องการทราบรายละเอียดในข้อนี้ ในวันชี้สองสถานหรือก่อนวันนั้นจำเลยก็มีสิทธิขอให้ศาลสอบถามโจทก์ให้แถลงถึงข้อนี้ได้ จำเลยหาได้กระทำเช่นนั้นเพิ่งจะมาคัดค้านขึ้นในตอนสืบพยานโจทก์ไปแล้วย่อมไม่ได้

พิพากษายืน

Share