คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นครอบครองอยู่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362,365หรือไม่นั้นจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้เข้าไปหรือใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายจำเลยเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยไม่มีสิทธิหรือไม่ซึ่งศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบเป็นสำคัญภาพถ่ายที่โจทก์นำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่าขณะที่ผู้เสียหายถูกจำเลยลากตัวไปยังบ้านของจำเลยปรากฏชัดแจ้งว่าผู้เสียหายยืนอยู่ณจุดใดภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหายศาลก็ชอบที่จะใช้ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดฐานบุกรุกได้ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยกระชากลากตัวผู้เสียหายออกมาจากบริเวณบ้านของผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายยืนอยู่บริเวณใต้ชายคาบ้านของผู้เสียหายดังที่ปรากฏในภาพถ่ายเท่ากับจำเลยยอมรับว่าจุดที่ผู้เสียหายยืนอยู่ในขณะที่ผู้เสียหายถูกจำเลยกระชากลากตัวไปอยู่ภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหายตามที่ปรากฏในภาพถ่ายจากจุดที่ผู้เสียหายยืนอยู่ดังนี้การที่จำเลยจะกระชากลากตัวผู้เสียหายให้ออกไปจากบริเวณบ้านของผู้เสียหายได้แม้จำเลยจะยืนอยู่นอกบริเวณบ้านของผู้เสียหายแต่จำเลยก็จะต้องเอื้อมมือเข้าไปภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหายเพื่อจับและฉุดกระชากลากตัวผู้เสียหายออกไปการเอื้อมมือเข้าไปฉุดกระชากลากตัวผู้เสียหายออกไปในลักษณะนี้ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการใดๆอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขโดยใช้กำลังประทุษร้ายเข้าองค์ประกอบแห่งความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362และมาตรา365(1)แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันควรได้บุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์และเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางกินรี เกื้อมธุรส ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายกระชากและบิดมือผู้เสียหายจนล้ม แล้วลากผู้เสียหายไปตามพื้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับเป็นอันตรายแก่กายอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข เหตุเกิดที่ตำบลเสาธงหิน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365, 295
จำเลยให้การรับสารภาพฐานทำร้ายร่างกาย แต่ปฏิเสธฐานบุกรุก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 คำขออื่นให้ยก
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และ 365(1) ประกอบด้วย มาตรา 362การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(1) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาทจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือนต่อครั้งภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และ 30
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยหรือพิจารณานอกเหนือจากคำฟ้องอุทธรณ์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ในชั้นอุทธรณ์โจทก์อุทธรณ์ว่าการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานบุกรุกนั้นเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายล่วงล้ำเข้าไปก็เป็นความผิดฐานบุกรุกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าไปทั้งตัวก็ได้ กรณีของนางกินรี เกื้อมธุรส ผู้เสียหาย ยืนตากผ้าอยู่ริมแนวเขตบ้านการที่จำเลยใช้กำลังกายกระชากผู้เสียหายออกไปเห็นได้ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายจำเลยต้องเข้าไปถูกตัวของผู้เสียหายในที่ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์อันถือได้ว่าเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองอันเป็นความผิดฐานบุกรุกแล้ว ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามที่โจทก์อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิจารณาภาพถ่ายหมาย จ.3 ภาพที่ 2 และที่ 3 แล้ววินิจฉัยว่าผู้เสียหายยืนอยู่ใต้ชายคาบ้าน แม้จะอยู่นอกประตูเหล็กม้วนก็ถือได้ว่าอยู่ในบริเวณบ้าน เมื่อจำเลยเข้าไปกระชากตัวออกมาจึงรับฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดฐานบุกรุก ย่อมเป็นการวินิจฉัยและพิจารณาเกินคำฟ้องอุทธรณ์นั้น เห็นว่า การที่จะพิจารณาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นครอบครองอยู่หรือไม่ จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้เข้าไปหรือใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายจำเลยเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยไม่มีสิทธิหรือไม่ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบเป็นสำคัญภาพถ่ายหมาย จ.3 เป็นภาพถ่ายที่โจทก์นำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่าขณะที่ผู้เสียหายถูกจำเลยลากตัวไปยังบ้านของจำเลย ผู้เสียหายยืนอยู่ณ จุดใดภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหาย เมื่อภาพถ่ายหมาย จ.3ภาพที่ 2 และที่ 3 ปรากฏชัดแจ้งว่า ขณะที่ผู้เสียหายถูกจำเลยกระชากและลากตัวไปผู้เสียหายยืนอยู่ในบริเวณบ้านของผู้เสียหายศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็ชอบที่จะใช้ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดฐานบุกรุกได้เพราะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย จำเลยได้ล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณบ้านของผู้เสียหายแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หาได้วินิจฉัยหรือพิจารณานอกเหนือจากคำฟ้องอุทธรณ์ดังที่จำเลยฎีกาไม่
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่จะเป็นความผิดฐานบุกรุกบ้านหรือเคหสถานของผู้เสียหายได้นั้น จำเลยจะต้องเข้าไปในบริเวณบ้านหรือเคหสถานของผู้เสียหายทั้งตัว มิใช่เพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายจำเลยเข้าไป ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยกระชากลากผู้เสียหายออกมาจากบริเวณที่ผู้เสียหายยืนอยู่ใต้ชายคาบ้านของผู้เสียหายดังที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.3โดยที่จำเลยมิได้เข้าไปในบริเวณบ้านของผู้เสียหายทั้งตัวจำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานบุกรุก นั้นเห็นว่า ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยกระชากลากตัวผู้เสียหายออกมาจากบริเวณบ้านของผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายยืนอยู่บริเวณใต้ชายคาบ้านของผู้เสียหายดังที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.3 ก็เท่ากับจำเลยยอมรับว่าจุดที่ผู้เสียหายยืนอยู่ในขณะที่ผู้เสียหายถูกจำเลยกระชากลากตัวไปอยู่ภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหายตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.3ภาพที่ 3 จากจุดที่ผู้เสียหายยืนอยู่การที่จำเลยจะกระชากลากตัวผู้เสียหายให้ออกไปจากบริเวณบ้านของผู้เสียหายได้ แม้จำเลยจะยืนอยู่นอกบริเวณบ้านของผู้เสียหายแต่จำเลยก็จะต้องเอื้อมมือเข้าไปภายในบริเวณบ้านของผู้เสียหายเพื่อจับและฉุดกระชากลากตัวผู้เสียหายออกไป การเอื้อมมือเข้าไปฉุดกระชากลากตัวผู้เสียหายออกไปในลักษณะนี้ ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขโดยใช้กำลังประทุษร้ายเข้าองค์ประกอบแห่งความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และมาตรา 365(1) แล้ว
พิพากษายืน

Share