แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารโจทก์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้ ส. ซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์เบิกเงินเกินบัญชีไปโดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาและไม่มีหลักประกัน ทั้งไม่ได้รับอนุมัติจากโจทก์ตามระเบียบ เป็นการกระทำนอกเหนือขอบอำนาจจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ การที่โจทก์ยังไม่ฟ้อง ส. ให้ชำระหนี้แก่โจทก์โดยตรงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย เพราะหนี้รายนี้ไม่มีหลักประกัน ในการที่โจทก์จะฟ้อง ส. ให้ชำระหนี้คืนแก่โจทก์โจทก์จะต้องพิจารณาทางได้เสียในทุก ๆ ทาง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาราชบุรีจำเลยที่ ๑ กระทำการนอกเหนืออำนาจและโดยประมาทเลินเล่อ ก่อความเสียหายให้แก่โจทก์ คือจำเลยที่ ๑ ให้นายสมพร โตนุ่ม เบิกเงินเกินบัญชีไปโดยมิได้จัดทำสัญญาไว้เป็นหนังสือและไม่มีหลักประกัน ทั้งไม่ได้รับอนุมัติจากโจทก์เป็นลายลักษณ์อักษรอันเป็นการผิดระเบียบโจทก์ไม่สามารถติดตามทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่โจทก์ได้ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ขอใหบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๑๓,๗๗๕.๐๗ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๓๖,๒๖๙.๘๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๒ รับผิดชำระเงินจำนวน ๒๑๓,๓๙๗.๒๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวในต้นเงิน๒๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ โจทก์ยังมิได้ติดตามทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้กระทำโดยประมาทหรือทุจริต จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด หากจะรับผิดก็อยู่ในวงเงิน๒๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๒๓๖,๒๖๙.๘๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนในจำนวนไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ให้นายสมพรเบิกเงินเกินบัญชีไปโดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาและไม่มีหลักประกัน ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่เป็นลายลักษณอักษร อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าการที่โจทก์ไม่ฟ้องนายสมพรให้ชำระหนี้แก่โจทก์โดยตรง ทั้ง ๆ ที่นายสมพรมีถิ่นที่อยู่แน่นอน และเป็นผู้มีทรัพย์สินซึ่งโจทก์อาจได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิงเป็นการละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย ถือว่าโจทก์มีส่วนทำความผิด ให้เกิดความเสียหายหรืออีกนัยหนึ่งความเสียหายเกิดจากการละเว้นการกระทำของโจทก์ที่ไม่ยอมบำบัดปัดป้องไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้น จำเลยที่ ๑ จึงพ้นความรับผิดนั้น เห็นว่า ดังได้วินิจฉัยแล้วว่าหนี้เบิกเงินเกินบัญชีชั่วคราวที่นายสมพรเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์สาขาราชบุรีเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ในการที่โจทก์จะฟ้องนายสมพร โตนุ่ม บังคับให้ชำระหนี้คืนแก่โจทก์นั้น โจทก์จะต้องพิจารณาทางได้เสียในทุก ๆ ทางดังนั้นการที่โจทก์ยังไม่ฟ้องนายสมพร ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย
พิพากษายืน.