แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลทหารพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยโจทก์เป็นผู้เสียหายว่า เท่าที่โจทก์นำสืบยังมีข้อสงสัยฟังไม่ได้สนิทใจว่าเหตุที่เกิดเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลย จำต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วย โจทก์และจำเลยที่ 1 ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารพ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธพีพิจารณาความอาญามาตรา 46(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1134,1135/2509) และคำพิพากษาคดีอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยประมาทหรือไม่ไว้แน่นอนแล้ว จะฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1674/2512)
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อผู้ตาย จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายจ้างไม่ต้องรับผิดไปด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นมารดาของนายสมบูรณ์ จันทร์สฤษดิ์ โจทก์ที่ 2 เป็นภรรยาของนายสมบูรณ์ และเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงพนิดา เด็กชายสมิทธ์ เด็กหญิงอรไท และเด็กชายจร จันทร์สฤษดิ์ บุตรผู้เยาว์อันเกิดจากนายสมบูรณ์ผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของสำนักงานวิจัยเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฐานะเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2516 จำเลยที่ 1 ขณะที่ปฏิบัติงานของสำนักงานวิจัยเกษตรฯ ได้ขับรถแทร็กเตอร์ของจำเลยที่ 2 ไปตามถนนมิตรภาพ โดยลากจูงเครื่องอัดฟางไปด้วย ในการพ่วงเครื่องอัดฟางเข้ากับตัวรถแทร็กเตอร์ จำเลยที่ 1 ใช้เหล็กสลักและพินล๊อคสลักที่มีขนาดเล็กเกินไปและร่วมกับพนักงานอื่นใส่เหล็กสลักเพียงแห่งเดียว ซึ่งที่ถูกจะต้องใส่เหล็กสลัก 2 แห่งเพื่อความปลอดภัย จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าเหล็กสลักและพินล็อคอาจจะหักหรือหลุดออกเมื่อเกิดแรงกระเทือนในขณะรถแล่น เป็นอันตรายแก่บุคคลและยวดยานที่ผ่านไปมา ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถแทร็กเตอร์อยู่บนถนนมิตรภาพ เหล็กสลักและพินล็อคขาดหลุดออกจากกัน เป็นเหตุให้เครื่องอัดฟางหลุดออกจากตัวรถแทร็กเตอร์และด้วยความแรงเครื่องอัดฟางแล่นพุ่งไปในทางเดินรถที่กำลังสวนทางมา เกิดชนกับรถยนต์นั่งซึ่งนายสมบูรณ์ขับสวนทางมา ทำให้รถยนต์พลิกคว่ำและนายสมบูรณ์ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับความเสียหายต้องจ่ายค่าทำศพ 60,000 บาท ต้องขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 2,352,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,412,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างสำนักงานวิจัยเกษตรฯ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง จำเลยที่ 1 สอดสลักและปิ๊นหรือพิ๊นกันสลักหลุดอย่างถูกต้องมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย ด้วยความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ที่เคยปฏิบัติตามปกติ จำเลยที่ 1 ขับรถแทร็กเตอร์พ่วงเครื่องอัดฟางไปตามถนนมิตรภาพด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะข้ามสะพานลำน้ำชีที่คอสะพานและกลางสะพานมีรอยต่อ รถแทร็กเตอร์และเครื่องอัดฟางได้รับการกระแทกกระเทือนอย่างแรง ทำให้ปิ๊นหรือพิ๊นหัก สลักที่ใช้พ่วงเครื่องอัดฟางหลุดกระเด็นออกไป เป็นเหตุสุดวิสัย เครื่องอัดฟางหลุดจากรถแทร็กเตอร์และครูดไปตามถนนอย่างช้า ๆ เอียงล้ำเข้าไปในทางที่รถสวนมา จำเลยที่ 1 จอดรถแทร็กเตอร์แอบข้างทางเพื่อจัดการแก้ไข แต่ไม่ทัน ในขณะนั้นนายสมบูรณ์ผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถหักหลบเครื่องอัดฟางได้ ที่ผู้ตายขับรถพุ่งเข้าชนเครื่องอัดฟางถึงแก่ความตายเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ตายเอง ศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ได้พิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเลินเล่อ ตามคดีหมายเลขดำที่ 233/2516 หมายเลขแดงที่ 894/2516 จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ฯลฯ
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมยื่นคำให้การมีใจความอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 766,800 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ถูกอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายถึงแก่ความตายศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) วินิจฉัยว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในการพ่วงรถตามที่เคยปฏิบัติมาโดยใส่พื้นเรียบร้อยแล้ว แต่ที่คอสะพานและกลางสะพานมีรอยต่อเป็นเหตุให้รถเทเล่อร์ซึ่งบรรทุกเครื่องอัดฟางหลุดจากรถแทร็กเตอร์ แล้วแล่นเอียงเฉเข้าไปในทางที่รถสวนมา ผู้ตายขับรถมาด้วยความเร็วสูง สุดวิสัยของจำเลยที่จะแก้ไขเหตุการณ์ได้ทันเท่าที่โจทก์นำสืบยังมีข้อสงสัยฟังไม่ได้สนิทใจว่า เหตุที่เกิดคดีนี้เป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยที่มิได้สอดลิ้นกันมิให้สลักหลุด จำต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดตามคดีหมายเลขดำที่ 233/2516 คดีหมายเลขแดงที่ 894/2516
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาของศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ซึ่งโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4), 5(2) โดยอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 แทนโจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้เข้ามาเป็นคู่ความ โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2489 มาตรา 55 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1134, 1135/2509 ระหว่างนายทองนอก นิตยสุทธิ์ และคุณหญิงเล็ก อินทราธิบดีสหราชรองเมือง โจทก์ นายโอกาศ สาครวาสี จำเลย ที่โจทก์เถียงมาในฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โดยยกคำพิพากษาฎีกาที่ 1927/2514 ขึ้นมานั้น คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างเป็นเรื่องจำเลยซึ่งถูกฟ้องในคดีแพ่งมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาด้วย ข้อเท็จจริงจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าคำพิพากษาคดีอาญามิได้วินิจฉัยให้แน่ชัดลงไปว่า การพ่วงรถของจำเลยที่ 1 ประมาทหรือไม่ เพียงแต่ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งนั้น ข้อนี้คำพิพากษาคดีอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 1 กระทำการโดยประมาทหรือไม่ไว้แน่นอนแล้ว จะฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหาได้ไม่ เทียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1674/2512 (ประชุมใหญ่) ระหว่างนายหมาด ทำศรี โจทก์ นางหร่อน๊ะ มัสการ จำเลย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อผู้ตาย ไม่มีความรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองด้วย
พิพากษายืน