คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินเมื่อจำเลยซึ่งมีชื่อในที่พิพาทอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์แทนม. จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ทั้งโจทก์ยังได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1474วรรคสองที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยอีกด้วยแม้ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อนก็ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงภารการพิสูจน์ของจำเลยข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแทนม.เมื่อที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาระหว่างเป็นคู่สมรสกับโจทก์จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1474

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างสมรสโจทก์และจำเลยร่วมกันซื้อบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นเลขที่ 19/176 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 216993เนื้อที่ 18 ตารางวา โดยลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ปัจจุบันบ้านและที่ดินดังกล่าวมีราคาตามท้องตลาดประมาณ 2,000,000บาท โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันแล้ว แต่จำเลยไม่แบ่งสินสมรสดังกล่าวให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยแบ่งบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่216993 ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำบ้านและที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้แบ่งฝ่ายละเท่า ๆ กันหากจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่ยอมขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยไม่เคยร่วมกันซื้อทรัพย์สินใด ๆนางสาวมุกดา รัตนาวงศ์ไชยา น้องสาวของจำเลยเป็นผู้ซื้อบ้านและที่ดินตามฟ้องโดยลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจึงไม่ใช่สินสมรส ราคาบ้านและที่ดินดังกล่าวตามราคาท้องตลาดอย่างสูงไม่เกิน 800,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่216993 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ หรือจะเสียหายมากนักก็ให้นำออกขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลยหรือขายทอดตลาด คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2531 โจทก์ได้ทำหนังสือจองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทกับบริษัทสุวรรณแลนด์ จำกัดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2532 ครั้นวันที่ 14 มิถุนายน 2532ได้ตกลงทำเป็นรูปสัญญาจะซื้อจะขายกัน โดยระบุชื่อจำเลยเป็นผู้จะซื้อจากบริษัทสุวรรณแลนด์ จำกัด ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.1ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม 2534 บริษัทสุวรรณแลนด์ จำกัด ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแก่จำเลย ปรากฎตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.2 และจำเลยได้ชำระค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างงวดสุดท้ายจำนวน 320,000 บาท แก่บริษัทสุวรรณแลนด์จำกัด ในวันรับโอน ปรากฎตามใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเอกสารหมายล.13 ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2534 โจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนหย่ากัน โดยบันทึกเรื่องทรัพย์สินไว้ท้ายทะเบียนหย่าว่า”เรื่องทรัพย์สินไม่มี” ปรากฎตามภาพถ่ายบันทึกเอกสารหมาย ล.15คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความประกอบเอกสารระหว่างสมรสโจทก์และจำเลยได้ร่วมกันจองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 2 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 216994 และสิ่งปลูกสร้างจองในชื่อของจำเลยปรากฎตามหนังสือจองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาได้โอนขายสิทธิตามหนังสือจองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.3 ให้แก่นางสาววรรณา อ๋อสกุล ได้กำไรเป็นเงิน 391,000 บาท ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้ผ่อนชำระค่าซื้อแก่ผู้ขายตามสัญญาโดยนำเงินที่ได้กำไรจากนางสาววรรณาชำระค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่บริษัทสุวรรณแลนด์ จำกัด ผู้ขายในงวดสุดท้ายจำนวน320,000 บาท และให้โอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ส่วนพยานจำเลยมีตัวจำเลยและนางสาวมุกดา รัตนาวงศ์ไชยาน้องสาวของจำเลยเบิกความทำนองเดียวกันว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตลอดจนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามหนังสือจองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.3 เป็นการจองซื้อไว้แทนนางสาวมุกดา และเงินที่ชำระค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลงล้วนเป็นเงินที่นางสาวมุกดามอบให้จำเลยมาชำระแทนทั้งสิ้นเหตุที่ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้จองไว้เป็นการให้เกียรติแก่โจทก์ในฐานะที่เป็นสามีจำเลยซึ่งได้ไปกับจำเลยด้วยในวันจองซื้อทั้งโจทก์และจำเลยมีรายได้รวมกันไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด ย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้น เมื่อจำเลยซึ่งมีชื่อในที่ดินพิพาทอ้างว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวแทนนางสาวมุกดา จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 วรรคสอง บัญญัติว่า”ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์อย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส” โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนี้ จำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมิใช่สินสมรสย่อมมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อนก็ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงภาระการพิสูจน์ของจำเลย และหาทำให้โจทก์ต้องมีหน้าที่พิสูจน์ดังที่จำเลยฎีกาไม่ ดังนั้น เมื่อทางนำสืบของจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยและนางสาวมุกดาน้องสาวของจำเลยเบิกความลอย ๆว่าจำเลยซื้อและถือกรรมสิทธิ์แทนนางสาวมุกดา แม้แต่เงินจำนวน320,000 บาท ที่จำเลยนำไปชำระแก่บริษัทสุวรรณแลนด์ จำกัดในงวดสุดท้าย นางสาวมุกดาเบิกความว่าได้มอบให้จำเลยไปชำระแทน โดยฝากเข้าบัญชีของจำเลยไว้ ถ้ามีการนำเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยจริง จำเลยคงแสดงหลักฐานการนำฝากและการถอนเงินจำนวนดังกล่าวสนับสนุนข้ออ้างของตนแล้ว แต่ทางพิจารณาไม่ปรากฎว่าได้มีหลักฐานดังกล่าวแต่ประการใด นอกจากนี้จำเลยเองก็เบิกความถึงเรื่องนี้ไปคนละทางว่า นางสาวมุกดาได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวด้วยเงินสดให้แก่บริษัทสุวรรณแลนด์ จำกัด เมื่อวันที่27 มีนาคม 2534 พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักน้อย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์จำเลยไม่มีรายได้เพียงพอที่จะซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทนั้น ก็ปรากฎตามคำเบิกความของจำเลยเองว่าจำเลยได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากมารดาและทางบ้านของจำเลยที่จังหวัดนครปฐมอยู่เสมอ น่าเชื่อว่าในการผ่อนชำระเงินดาวน์ตามสัญญาของโจทก์จำเลยคงได้รับการช่วยเหลือจากมารดาจำเลยและญาติพี่น้องบ้างเพื่อให้โจทก์จำเลยมีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเองเมื่อมีการขายบ้านที่จองอีก 1 หลังจึงนำกำไรมาชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแทนนางสาวมุกดา ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาระหว่างเป็นคู่สมรสกับโจทก์ จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share