คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงในห้องสำนวนฟังได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองไปจากโจทก์ และโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองจนเกินกว่า 1 ปีแล้ว ศาลก็ชอบที่จะยกมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นวินิจฉัยให้ยกฟ้องโจทก์เสียได้ แม้จำเลยจะมิได้ยกมาตรานี้เป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การด้วยก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องความว่าโจทก์ เป็นบิดาของนายแบนหรือจิตรผู้เยาว์ นายแบนเป็นเจ้าของสวนยางพิพาท ๑ แปลง ราคา ๗,๐๐๐ บาท ได้รับมรดกจากนางเพียรมารดาถือสิทธิครอบครองมา เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๑ จำเลยทั้ง ๒ ได้เข้าบุกรุกทำลายหลักเขต ฟันต้นยางและกรีดเอาน้ำยางของโจทก์ในที่พิพาท โจทก์ห้าม จำเลยก็ไม่เชื่อฟัง จึงฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและห้ามจำเลยและยริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑,๐๐๐ บาทด้วย
จำเลยทั้งสามให้การความกว่า จำเลยที่ ๑ – ๒ เป็นสามีภรรยากัน จำเลยที่ ๓ เป็นมารดาจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสามไม่ได้บุกรุก ไม่ได้ทำลายหลักเขตหรือฟันต้นยางของโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ความจริงที่ดินจำเลยที่ ๓ อยู่ติดต่อกับที่ดินของนางเพียรนายคล้าย นางเพียรตายเมื่อ ๕-๖ ปีมานี้ ที่ดินของนางเพียรตกได้แก่นายคล้ายสามีกับบุตรปกครองมา ระหว่างนายคล้ายกับจำเลยได้ปกครองกันเป็นส่วนสัดมิได้รุกล้ำกัน หลักเขตก็ไม่มี นายเปรมโจทก์เดิมเป็นสามีเก่านางเพียร มีบุตรด้วยกัน คือ นายแบนนี้ นายเปรม เลิกร้างกับนางเพียร ๑๗ – ๑๘ ปีแล้ว นางเพียรจึงได้กับนายคล้าย และได้ปกครองที่ดินที่ติดต่อกับที่ดินจำเลยนี้ ต่อมานางเพียรตาย โจทก์จึงฟ้องขอแบ่งมรดกของนางเพียรในนามของนายแบนบุตร ศาลเปรียบเทียบให้ที่ดินบ้านตกได้แก่นายแบน ส่วนที่นาอีก ๒ แปลงให้ได้แก่บุตรนางเพียรที่เกิดด้วยนายคล้าย นายคล้ายจึงออกจากที่บ้านนี้ไป โจทก์จึงเข้าครอบครองที่บ้านเดิมของนางเพียรในนามของนายแบนบุตร แต่ด้วยความโลภและไม่รู้เขตแดนจึงมีกรณีวิวาทกับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ครอบครองมา จำเลยมิได้ยกอายุความแบ่งการครอบครองขึ้นต่อสู้ จำเลยเจ้าไปทำอย่างไรก็หาทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครองไม่ จำเลยตัดต้นยางเพยง ๑ ต้นคิดเป็นเงิน ๔๗ บาท พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีภายหลังที่จำเลยแบ่งการครอบครองถึง ๒ ปีเศษ แม้เดิมที่พิพาทจะเป็นของโจทก์ โจทก์ก็หมดสิทธิฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๕ และตามนัยฎีกาที่ ๑๖๙๔ – ๑๖๙๕/๒๕๐๐ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้บุกรุกที่พิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ และนับเวลาแต่นั้นมาจนถึงวันโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า ๑ ปีแล้ว จึงมีปัญหาว่าศาลจะยกมาตรา ๑๓๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยให้ยกฟ้องโจทก์เสียได้หรือไม่ในเมื่อจำเลยมิได้อ้างมาตรานี้เป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การด้วย ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหานี้ว่า กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปีตามมาตรา ๑๓๗๕ นั้น เมื่อไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดดังกล่าวนี้ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วนั้นทันที และพร้อมกันนั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้สิทธิเพิ่มขึ้นใหม่อีกที่จะไม่ต้องคืนการครอบครองให้แก่ผู้ที่ตนแย่งมา ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในฟ้องสำนวนฟังได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองไปจากโจทก์และโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเาอคืนซึ่งการครอบครองจนเกินกว่า ๑ ปีแล้ว โจทก์ก็เสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองไปเด็ดขาดแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้อง โดยไม่มีทางจะอ้างอย่างใดเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองจากจำเลยก็สูญเสียไปหมดแล้ว คดีของโจทก์จึงปราศจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้จำเลยต้องรับผิด
ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์เสียได้ โดยไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องอ้างมาตรา ๑๓๗๕ ที่ว่านั้นเป็นข้อต่อสู้ขึ้นมาด้วยก็ได้ และมิต้องคำนึงว่ากำหนดเวลาตามมาตรา ๑๓๗๕ นี้จะเป็นอายุความฟ้องร้องตามกฎหมายหรือไม่แต่อย่างใด พิพากษายืน

Share