แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทเดิมค้างชำระค่าภาษีโรงเรือนต่อโจทก์ก่อนโอนขายให้จำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารพิพาทต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างด้วยในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม โดยผลแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 45
การที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระมาตั้งแต่จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของ ไม่ใช่เรื่องที่ทรัพย์สินที่ซื้อขายตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 479 ศาลจึงจะพิพากษาให้จำเลยที่ 4 รับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระนั้นต่อจำเลยที่ 3 ให้เสร็จไปในคดีเดียวกันตามมาตรา 477 ไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันใช้เงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีและค่าภาษีเพิ่มแก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายและดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงเรือนตามที่โจทก์ฟ้องจริง และรับว่าไม่ได้ชำระค่าภาษีให้โจทก์ตามกำหนดเกินกว่า 4 เดือนแล้ว จึงไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มร้อยละสิบ จำเลยที่ 1 จะต้องชำระภาษีเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ10 ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระภาษีโรงเรือนให้โจทก์จนล่วงพ้นกำหนดชำระในแต่ละปี พ.ศ. เกินกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 4 เดือนเท่านั้น และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวโจทก์ไม่ได้ทวงเตือนให้จำเลยชำระ ขอศาลพิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เป็นผู้รับโอนที่ดินและโรงเรือนเลขที่ 467 มาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2521 จำเลยที่ 1 จะค้างชำระค่าภาษีตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ไม่ทราบ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 3 ซื้อโรงเรือนดังกล่าวพร้อมที่ดินจากนายพิชิตและนางอุรา จุรีเกษ ในราคา 19 ล้าน 5 แสนบาท การซื้อขายโรงเรือนและที่ดินรายนี้กระทำโดยสุจริต และด้วยความระมัดระวังแล้วจำเลยที่ 3 ไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะติดค้างภาษีโรงเรือนอยู่ถึง 8 ปี นายพิชิตนางอุราทำละเมิดและฉ้อฉลจำเลยที่ 3 โดยสมคบร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ปิดบังข้อความจริง มิให้จำเลยที่ 3 รู้ถึงภาระติดพันในโรงเรือนดังกล่าว ซึ่งผู้ขายมีหน้าที่ต้องเปิดเผยภาระค่าภาษีให้ผู้ซื้อทราบ จำเลยที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทกจะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่3 ไม่ได้ หากจะคิดได้ก็คิดได้จากวันที่ 2 เมษายน 2525ทั้งสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยเกิน 5 ปี แล้ว จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องแสดงเหตุว่า นายพิชิต และนางอุราจุรีเกษ ผู้ขายโรงเรือนและที่ดินให้จำเลยที่ 3 จงใจฉ้อฉลปิดบังไม่ให้จำเลยที่ 3 รู้ว่ายังติดค้างชำระภาษีโรงเรือนโจทก์อยู่ ผู้ขายทั้งสองจะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 3 และอาจถูกจำเลยที่ 3 ใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ขอให้ศาลหมายเรียกนายพิชิต จุรีเกษ และนางอุรา จุรีเกษ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ศาลชั้นต้นหมายเรียกนายพิชิต จุรีเกษ และนางอุรา จุรีเกษ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมและเรียกว่าจำเลยที่ 4 ที่ 5
จำเลยที่ 4 ที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ที่ 5 ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนเพราะจำเลยที่ 4 ที่ 5 เป็นเพียงเจ้าของที่ดินเท่านั้น จำเลยที่ 1 ต่างหากที่เป็นเจ้าของโรงเรือนจำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิเรียกจำเลยที่ 4 ที่ 5 เข้าเป็นจำเลยร่วม การที่จำเลยที่ 3 ต้องเสียภาษีโรงเรือนไม่เป็นการรอนสิทธิ์อันเกิดจากทรัพย์สินที่ซื้อขายจำเลยที่ 4ที่ 5 ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 ส่วนโรงเรือนที่ขายไปด้วยนั้น จำเลยที่ 4 ที่ 5 กระทำแทนจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ต่างหาก การซื้อขายที่ดินจึงไม่เป็นการรอนสิทธิ์จำเลยที่ 3 แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจฟ้องหรือถูกจำเลยที่ 4 ที่ 5 ฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้เงินค่าทดแทน ขอศาลพิพากษายกฟ้องและยกคำร้องของจำเลยที่3 ที่ให้เรียกจำเลยที่ 4 ที่ 5 เข้ามาในคดี
ศาลชั้นต้นชี้สองสถาน กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า
1. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
2. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
3. การประเมินภาษีและภาษีเพิ่มชอบหรือไม่
4. โจทก์เรียกดอกเบี้ยตามฟ้องได้หรือไม่เพียงใด
5. จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด
จำเลยที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า ศาลจะต้องกะประเด็นข้อพิพาทอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 4 ที่ 5 จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่3 หรือไม่เพียงใด ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ การประเมินภาษีและค่าเพิ่มนั้นโจทก์ประเมินชอบแล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของโรงเรือนร่วมกันจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของโรงเรือนคนใหม่ซึ่งจะต้องรับผิดในหนี้ค่าภาษีที่ค้างชำระร่วมกัน ส่วนจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงเรือนพิพาท พิพากษาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,103,703 บาท 87สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน978,918 บาท 73 สตางค์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 5 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่ง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อุทธรณ์คำพิพากษา
สำหรับอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิ่มประเด็นข้อพิพาทและยกคำร้องของจำเลยที่ 3เสีย และให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งว่าจำเลยที่ 4 ที่ 5 จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 3 หรือไม่เพียงใดส่วนอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 4 รับผิดต่อจำเลยที่ 3 สำหรับจำนวนที่จำเลยที่ 3 ต้องชำระให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 มีเพียงว่าจำเลยที่ 4 ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทหรือไม่และจำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดหรือร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระต่อโจทก์ในปี 2514 ถึง 2522 หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 4 เองก็ยอมรับข้อเท็จจริงอยู่ตลอดมาว่าที่ดินปลูกอาคารพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 4ก่อนมีการขายให้จำเลยที่ 3 ส่วนอาคารพิพาทเมื่อพิจารณาจากคำร้องขอใช้เลขบ้านเลขที่ 467 สำหรับอาคารพิพาทที่ปลูกใหม่ตามเอกสารหมาย ล.4 และจากหนังสือสัญญาซื้อขาย เอกสารหมาย ล.1และการจดทะเบียนซื้อขาย เอกสารหมาย ล.5 ซึ่งมีข้อความว่าจำเลยที่ 4 ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 3 ข้อความในเอกสารดังกล่าวล้วนยืนยันว่าจำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินและร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาททั้งสิ้น จริงอยู่คำร้องขออนุญาตปลูกอาคารก็ดี ขอเลขบ้านก็ดี ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ดังจำเลยที่ 4 ฎีกา แต่ข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่ชี้ประกอบกับเหตุผลอื่นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทด้วย นอกจากเอกสารจะชี้ชัดดังกล่าวแล้ว โดยข้อเท็จจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 4ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทก่อนจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2521 แม้พยานโจทก์บางคนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของโจทก์จะเบิกความไปตามความเข้าใจของตนว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของอาคารพิพาทดังจำเลยที่ 4 ฎีกาก็ตามแต่จากเอกสารและเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาแล้ว เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทด้วยมากกว่า ดังนั้นจำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนของอาคารพิพาทที่ค้างชำระต่อโจทก์ระหว่าง พ.ศ. 2514 ถึง พ.ศ. 2519ก่อนมีการขายให้จำเลยที่ 3 แต่เนื่องจากภาษีโรงเรือนดังกล่าวเป็นภาษีโรงเรือนค้างชำระ ดังนั้นจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนพิพาทจึงต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างด้วยโดยผลแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 45 ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม
ปัญหาต่อไปมีว่า ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรกที่ให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 4 ที่ 5 จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 3เพียงใด มาในฎีกาฉบับเดียวกันนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน จำเลยที่ 4 ฎีกาในส่วนนี้เป็นประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 4 รับผิดต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นจำเลยด้วยกันโดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้ตั้งสิทธิเรียกร้อง ไม่ได้ทำเป็นคำฟ้อง และไม่มีคำขอบังคับระหว่างจำเลยด้วยกันอีกทั้งจำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมศาลแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่า ความรับผิดในหนี้ค่าภาษีโรงเรือนของจำเลยที่ 3 เป็นไปตามผลแห่งกฎหมายดังกล่าวาแล้วจึงไม่ใช่เรื่องที่ทรัพย์สินที่ซื้อขายตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 479 อันอาจรวมเป็นคดีเดียวกันได้ตามมาตรา 477 ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 4 รับผิดในหนี้ค่าภาษีโรงเรือนเนื่องจากเหตุการรอนสิทธิ์ต่อจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ 4 ในข้อนี้ฟังขึ้น
จำเลยที่ 4 ฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้กำหนดประเด็นเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งนั้น เป็นการไม่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 4 นำพยานเข้าสืบได้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ไม่สั่งกำหนดประเด็นเพิ่มเติมขึ้นดังกล่าวประเด็นข้อพิพาทก็คงมีอยู่หาได้หมดสิ้นไปไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มขึ้นจึงไม่เป็นผลแก่คดีแต่อย่างใด ทั้งไม่เป็นการไม่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 4 นำสืบพยานเข้าสืบดังจำเลยที่ 4 ฎีกา เพราะจำเลยที่ 4 ก็ได้เบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลยในคดีนี้อยู่แล้ว จึงยังไม่มีเหตุจะย้อนสำนวนดังจำเลยที่ 4 ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์บางส่วนศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 4 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.