คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทเดิมค้างชำระค่าภาษีโรงเรือนต่อโจทก์ก่อนโอนขายให้ จำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารพิพาทต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างด้วยในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม โดยผลแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 45
การที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระมาตั้งแต่จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของ ไม่ใช่เรื่องที่ทรัพย์สินที่ซื้อขายตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 479 ศาลจึงจะพิพากษาให้จำเลยที่ 4 รับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระนั้นต่อจำเลยที่ 3 ให้เสร็จไปในคดีเดียวกันตามมาตรา 477 ไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันใช้เงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีและค่าภาษีเพิ่มแก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายและดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของโรงเรือนตามที่โจทก์ฟ้องจริง และรับว่าไม่ได้ชำระค่าภาษีให้โจทก์ตามกำหนดเกินกว่า ๔ เดือนแล้ว จึงไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มร้อยละสิบ จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระภาษีเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ๑๐ ต่อเมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ชำระภาษีโรงเรือนให้โจทก์จนล่วงพ้นกำหนดชำระในแต่ละปี พ.ศ. เกินกว่า ๓ เดือน แต่ไม่เกิน ๔ เดือนเท่านั้น และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวโจทก์ไม่ได้ทวงเตือนให้จำเลยชำระ ขอศาลพิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า เป็นผู้รับโอนที่ดินและโรงเรือนเลขที่ ๔๖๗ มาเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ จะค้างชำระค่าภาษีตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ไม่ทราบ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ ๓ ซื้อโรงเรือนดังกล่าวพร้อมที่ดินจากนายพิชิตและนางอุรา จุรีเกษ ในราคา ๑๙ ล้าน ๕ แสนบาท การซื้อขายโรงเรือนและที่ดินรายนี้กระทำโดยสุจริต และด้วยความระมัดระวังแล้วจำเลยที่ ๓ ไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะติดค้างภาษีโรงเรือนอยู่ถึง ๘ ปี นายพิชิตนางอุราทำละเมิดและฉ้อฉลจำเลยที่ ๓ โดยสมคบร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ปิดบังข้อความจริง มิให้จำเลยที่ ๓ รู้ถึงภาระติดพันในโรงเรือนดังกล่าว ซึ่งผู้ขายมีหน้าที่ต้องเปิดเผยภาระค่าภาษีให้ผู้ซื้อทราบ จำเลยที่ ๓จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทกจะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๓ ไม่ได้ หากจะคิดได้ก็คิดได้จากวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๕ทั้งสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยเกิน ๕ ปี แล้ว จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องแสดงเหตุว่า นายพิชิต และนางอุราจุรีเกษ ผู้ขายโรงเรือนและที่ดินให้จำเลยที่ ๓ จงใจฉ้อฉลปิดบังไม่ให้จำเลยที่ ๓ รู้ว่ายังติดค้างชำระภาษีโรงเรือนโจทก์อยู่ ผู้ขายทั้งสองจะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ ๓ และอาจถูกจำเลยที่ ๓ ใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ขอให้ศาลหมายเรียกนายพิชิต จุรีเกษ และนางอุรา จุรีเกษ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๓) ศาลชั้นต้นหมายเรียกนายพิชิต จุรีเกษ และนางอุรา จุรีเกษ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมและเรียกว่าจำเลยที่ ๔ ที่ ๕
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนเพราะจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เป็นเพียงเจ้าของที่ดินเท่านั้น จำเลยที่ ๑ ต่างหากที่เป็นเจ้าของโรงเรือนจำเลยที่ ๓ ไม่มีสิทธิเรียกจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เข้าเป็นจำเลยร่วม การที่จำเลยที่ ๓ ต้องเสียภาษีโรงเรือนไม่เป็นการรอนสิทธิ์อันเกิดจากทรัพย์สินที่ซื้อขายจำเลยที่ ๔ที่ ๕ ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๓ ส่วนโรงเรือนที่ขายไปด้วยนั้น จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ กระทำแทนจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ต่างหาก การซื้อขายที่ดินจึงไม่เป็นการรอนสิทธิ์จำเลยที่ ๓ แต่อย่างใด จำเลยที่ ๓ จึงไม่อาจฟ้องหรือถูกจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้เงินค่าทดแทน ขอศาลพิพากษายกฟ้องและยกคำร้องของจำเลยที่๓ ที่ให้เรียกจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เข้ามาในคดี
ศาลชั้นต้นชี้สองสถาน กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า
๑. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
๒. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
๓. การประเมินภาษีและภาษีเพิ่มชอบหรือไม่
๔. โจทก์เรียกดอกเบี้ยตามฟ้องได้หรือไม่เพียงใด
๕. จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำคัดค้านว่า ศาลจะต้องกะประเด็นข้อพิพาทอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ ๓ หรือไม่เพียงใด ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ การประเมินภาษีและค่าเพิ่มนั้นโจทก์ประเมินชอบแล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑และจำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของโรงเรือนร่วมกันจำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าของโรงเรือนคนใหม่ซึ่งจะต้องรับผิดในหนี้ค่าภาษีที่ค้างชำระร่วมกัน ส่วนจำเลยที่ ๕ ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงเรือนพิพาท พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๑๐๓,๗๐๓ บาท ๘๗ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน๙๗๘,๙๑๘ บาท ๗๓ สตางค์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๕ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์คำสั่ง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อุทธรณ์คำพิพากษา
สำหรับอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิ่มประเด็นข้อพิพาทและยกคำร้องของจำเลยที่ ๓เสีย และให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งว่าจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ ๓ หรือไม่เพียงใดส่วนอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๔ รับผิดต่อจำเลยที่ ๓ สำหรับจำนวนที่จำเลยที่ ๓ ต้องชำระให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๔ มีเพียงว่าจำเลยที่ ๔ ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทหรือไม่และจำเลยที่ ๔ จะต้องรับผิดหรือร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระต่อโจทก์ในปี ๒๕๑๔ ถึง ๒๕๒๒ หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๔ เองก็ยอมรับข้อเท็จจริงอยู่ตลอดมาว่าที่ดินปลูกอาคารพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๔ ก่อนมีการขายให้จำเลยที่ ๓ ส่วนอาคารพิพาทเมื่อพิจารณาจากคำร้องขอใช้เลขบ้านเลขที่ ๔๖๗ สำหรับอาคารพิพาทที่ปลูกใหม่ตามเอกสารหมาย ล.๔ และจากหนังสือสัญญาซื้อขาย เอกสารหมาย ล.๑และการจดทะเบียนซื้อขาย เอกสารหมาย ล.๕ ซึ่งมีข้อความว่าจำเลยที่ ๔ ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ ๓ ข้อความในเอกสารดังกล่าวล้วนยืนยันว่าจำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของที่ดินและร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาททั้งสิ้น จริงอยู่คำร้องขออนุญาตปลูกอาคารก็ดี ขอเลขบ้านก็ดี ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ดังจำเลยที่ ๔ ฎีกา แต่ข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่ชี้ประกอบกับเหตุผลอื่นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๔ ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทด้วย นอกจากเอกสารจะชี้ชัดดังกล่าวแล้ว โดยข้อเท็จจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ ๔ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทก่อนจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ แม้พยานโจทก์บางคนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของโจทก์จะเบิกความไปตามความเข้าใจของตนว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของอาคารพิพาทดังจำเลยที่ ๔ ฎีกาก็ตามแต่จากเอกสารและเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาแล้ว เชื่อได้ว่าจำเลยที่ ๔ ร่วมเป็นเจ้าของอาคารพิพาทด้วยมากกว่า ดังนั้นจำเลยที่ ๔ จึงต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนของอาคารพิพาทที่ค้างชำระต่อโจทก์ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ก่อนมีการขายให้จำเลยที่ ๓ แต่เนื่องจากภาษีโรงเรือนดังกล่าวเป็นภาษีโรงเรือนค้างชำระ ดังนั้นจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนพิพาทจึงต้องร่วมรับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างด้วยโดยผลแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๔๕ ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม
ปัญหาต่อไปมีว่า ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรกที่ให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ ๓เพียงใด มาในฎีกาฉบับเดียวกันนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน จำเลยที่ ๔ ฎีกาในส่วนนี้เป็นประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๔ รับผิดต่อจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นจำเลยด้วยกันโดยจำเลยที่ ๓ ไม่ได้ตั้งสิทธิเรียกร้อง ไม่ได้ทำเป็นคำฟ้อง และไม่มีคำขอบังคับระหว่างจำเลยด้วยกันอีกทั้งจำเลยที่ ๓ ก็ไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมศาลแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่า ความรับผิดในหนี้ค่าภาษีโรงเรือนของจำเลยที่ ๓ เป็นไปตามผลแห่งกฎหมายดังกล่าวาแล้วจึงไม่ใช่เรื่องที่ทรัพย์สินที่ซื้อขายตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๙ อันอาจรวมเป็นคดีเดียวกันได้ตามมาตรา ๔๗๗ ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๔ รับผิดในหนี้ค่าภาษีโรงเรือนเนื่องจากเหตุการรอนสิทธิ์ต่อจำเลยที่ ๓ ผู้ซื้อจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ ๔ ในข้อนี้ฟังขึ้น
จำเลยที่ ๔ ฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้กำหนดประเด็นเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งนั้น เป็นการไม่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ ๔ นำพยานเข้าสืบได้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ไม่สั่งกำหนดประเด็นเพิ่มเติมขึ้นดังกล่าวประเด็นข้อพิพาทก็คงมีอยู่หาได้หมดสิ้นไปไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มขึ้นจึงไม่เป็นผลแก่คดีแต่อย่างใด ทั้งไม่เป็นการไม่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ ๔ นำสืบพยานเข้าสืบดังจำเลยที่ ๔ ฎีกา เพราะจำเลยที่ ๔ ก็ได้เบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลยในคดีนี้อยู่แล้ว จึงยังไม่มีเหตุจะย้อนสำนวนดังจำเลยที่ ๔ ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์บางส่วนศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๔ ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๔ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share