แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ตายวิ่งเข้ามาชกจำเลยพร้อมทั้งพูดด้วยว่าจะฆ่าให้ตาย จำเลยถูกชกจนล้มลงผู้ตายคว้าเหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบเข้ามาแทงจำเลย จำเลยใช้มือรับจนมีบาดแผลที่ฝ่ามือ จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งตามจำเลยและแทงถูกจำเลยที่ต้นแขนขวาและพยายามจะแทงจำเลยอีกจำเลยจึงชักอาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด โดยมิได้เลือกว่าจะยิงที่ใดและจะถูกผู้ตายหรือไม่ แล้วจำเลยได้หลบหนีไป การที่ผู้ตายใช้เหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลมซึ่งสามารถทำอันตรายผู้อื่นถึงแก่ชีวิตได้ เป็นอาวุธไล่แทงจำเลย จนกระทั่งจำเลยอยู่ในที่คับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียง1 นัดเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุอันถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคหนึ่ง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี จำคุกไม่เกินห้าปี และโทษปรับไม่เกิน 100 บาทตามลำดับ ความผิดดังกล่าวจึงมีอายุความสิบห้าปี สิบปี และหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95(2)(3)(5) โจทก์นำคดีมาฟ้องนับแต่วันกระทำความผิดถึงวันฟ้องเกินกว่าสิบห้าปีแล้ว จึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 แม้ความผิดดังกล่าวจะยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้วก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องอายุความเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 288,371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี และฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ฐานมีและพาอาวุธปืนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานมีอาวุธปืน6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน 3 เดือน รวมจำคุก 15 ปี 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณหน้าอก เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยและผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาท จึงมิใช่กรณีป้องกัน เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ แม้เหตุแห่งคดีนี้จะเกิดขึ้นจากการทะเลาะวิวาทกันระหว่างจำเลยและผู้ตาย เนื่องจากจำเลยชวนนางสาวรำพึง ประพรม ให้ไปดูภาพยนตร์ที่บ้านหนองพยอม และผู้ตายไม่พอใจ จึงมีปากเสียงและชกต่อยกับจำเลยแต่พยานโจทก์หลายปาก เช่น นางคารม พรมสุขโข ภริยาผู้ตายและนายสุรินทร์ สมใจ ต่างเบิกความว่า กรณีทะเลาะวิวาทดังกล่าวได้ยุติลงโดยมีผู้ห้ามปราม ซึ่งนางคารมยืนยันว่าพยานและน้าของพยานได้ช่วยกันดึงผู้ตายกลับมาที่บริเวณพยานนั่งดูภาพยนตร์อยู่ แต่ต่อมาผู้ตายได้ลุกออกไปอีก จึงเกิดเรื่องเป็นคดีนี้ขึ้นแสดงให้เห็นว่าเหตุวิวาทครั้งแรกได้ขาดตอนไปแล้ว โดยนางขวัญเรือน มีเพชรเบิกความเป็นพยานโจทก์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังนี้ว่า ต่อมาพยานเห็นผู้ตายถือเหล็กแหลมวิ่งไล่ตามจำเลยที่ข้างโบสถ์ ห่างจากที่พยานนั่งอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 วา แล้วได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น ทั้งนี้นางคารมภริยาผู้ตายได้เบิกความด้วยว่า พยานได้ยินเสียงเอะอะที่ข้างรถยนต์โดยสาร เมื่อพยานลุกขึ้นไปดูก็เห็นผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว และเห็นจำเลยยืนถืออาวุธปืนอยู่ โดยพยานได้ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ในมือของผู้ตายมีเหล็กขูดชาฟท์ คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ยืนยันว่า หลังจากมีเรื่องในครั้งแรกแล้วผู้ตายวิ่งเข้ามาชกจำเลยพร้อมทั้งพูดด้วยว่าจะฆ่าให้ตาย จำเลยถูกชกจนล้มลง ผู้ตายคว้าเหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบ เข้ามาแทงจำเลย จำเลยใช้มือรับจนมีบาดแผลที่ฝ่ามือ จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งตามจำเลยและแทงถูกจำเลยที่ต้นแขนขวาและพยายามจะแทงจำเลยอีก จำเลยจึงชักอาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด โดยมิได้เลือกว่าจะยิงที่ใด และจะถูกผู้ตายหรือไม่ แล้วจำเลยได้หลบหนีไป การที่ผู้ตายใช้เหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลม ซึ่งสามารถทำอันตรายผู้อื่นถึงแก่ชีวิตได้เป็นอาวุธไล่แทงจำเลย จนกระทั่งจำเลยอยู่ในที่คับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียง 1 นัด เพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุอันถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2521 ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2491 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี จำคุกไม่เกินห้าปี และโทษปรับไม่เกิน 100 บาท ตามลำดับ ความผิดทั้งสองฐานจึงมีอายุความสิบห้าปี สิบปีและหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95(2)(3)(5) โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 นับแต่วันกระทำความผิดถึงวันฟ้องเกินกว่าสิบห้าปีแล้ว คดีสำหรับความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธิการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 แม้ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้วก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องอายุความเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา