คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เอกเทศสัญญา มิได้บัญญัติกำหนดวิธีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินไว้โดยเฉพาะเจาะจงทั้งข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้เรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน การที่โจทก์บรรยายคำฟ้องตั้งข้อเรียกร้องตามข้อตกลงในสัญญาโดยเรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมิได้ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน เช่นนี้ แม้ผู้ออกตั๋วทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเองก็มีผลบังคับได้ จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินรวม 4 ฉบับ เป็นเงิน24,440,802.40 บาท ระบุจ่ายเงินแก่โจทก์ในเวลาที่กำหนด แล้วนำมาทำสัญญาขายลดแลกเงินไปจากโจทก์โดยจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว และจำเลยสัญญาว่า เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับถึงกำหนด หากโจทก์ไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยยินยอมชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9582พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันลำดับที่สองในวงเงิน 10,000,000 บาทแก่โจทก์ มีข้อตกลงว่าถ้าบังคับจำนองได้เงินไม่พอใจชำระหนี้ยอมชำระส่วนที่ขาดจนครบ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับถึงกำหนดจำเลยมิได้นำเงินมาชำระแก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ทวงถามหลายครั้ง จำเลยคงนำเงินมาชำระตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับที่ 2เพียงบางส่วน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ในต้นเงิน 23,171,506.11 บาท และดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงิน57,736,116.28 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 23,171,506.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จถ้าจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบถ้วนแก่โจทก์
จำเลยให้การยอมรับว่า เป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับ แต่มิได้เป็นหนี้จากการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องเพราะการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นต้องเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่บุคคลอื่นออกให้แก่จำเลย และจำเลยต้องการที่จะได้รับเงินก่อนที่ตั๋วสัญญาใช้เงินครบกำหนดจึงนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมาขายลดให้แก่โจทก์โดยหักดอกเบี้ย นับแต่วันที่ขายจนถึงวันครบกำหนดใช้เงินออกจากจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วจึงชำระส่วนที่เหลือให้แก่จำเลย ดังนั้น การที่จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์และทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์จึงเป็นโมฆะและไม่มีผลผูกพันจำเลย และตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับครบกำหนดใช้เงินเกินกว่า 3 ปี จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานจึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน57,736,116.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน23,171,506.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ถ้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9582 ตำบลบึงลาดสวาย(คลองหกวาสายล่างฝั่งเหนือ) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี(ธัญบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถายกเว้นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยเสีย 40,000 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3เอกเทศสัญญา มิได้บัญญัติกำหนดวิธีการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินไว้โดยเฉพาะเจาะจงทั้งข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4, 6, 8 และ 10 ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้เรียกว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน การที่โจทก์บรรยายคำฟ้อง ตั้งเรียกร้องตามข้อตกลงในสัญญาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4, 6, 8และ 10 โดยเรียกชื่อว่าเป็นสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าว มิได้ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงามของประชาชนเช่นนี้ แม้ผู้ออกตั๋วทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินก็มีผลบังคับได้ หาเป็นโมฆะดังจำเลยฎีกา จำเลยมีความผูกพันต้องรับผิดตามสัญญาจำเลยเองให้การรับว่าจำเลยเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินความรับผิดของจำเลยจึงเป็นไปตามสัญญาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข4, 6, 8 และ 10 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 100,000 บาทแทนโจทก์

Share