คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยคู่ความรับกันข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินและบ้านของจำเลยถูกบังคับคดีโดยนำออกขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านของจำเลยจากการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยมีคำโต้แย้งคัดค้านของจำเลยว่าการบังคับคดีกระทำโดยมิชอบขอให้เพิกถอนอันเป็นข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะนำมาวินิจฉัยชี้ขาดตามประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินและบ้านที่โจทก์ซื้อมาได้หรือไม่หากวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ศาลย่อมต้องพิพากษายกฟ้องหากวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้ศาลย่อมต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่าโจทก์เสียหายเพียงใดซึ่งค่าเสียหายในกรณีเช่นนี้ย่อมอยู่ในอำนาจของศาลที่จะกำหนดให้ตามความเหมาะสมแก่รูปคดีเนื่องจากโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เสียหายเดือนละ30,000บาทโดยโจทก์คาดว่าหากนำที่ดินและบ้านออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ30,000บาทและจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่เสียหายหากเสียหายจริงก็ไม่เกินเดือนละ5,000บาทโดยต่างฝ่ายต่างมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่แน่นอนขึ้นสนับสนุนข้ออ้างและข้อเถียงของฝ่ายตนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยนั้นชอบแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเข้าสู้ราคาจนเป็นผู้ซื้อทอดตลาดได้ในขณะที่ยังไม่มีข้อคัดค้านของจำเลยว่าการบังคับคดีดังกล่าวไม่ชอบต้องถือว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านโดยชอบแล้วเมื่อโจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินพร้อมบ้านเนื่องจากจำเลยและบริวารยังคงอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวอันเป็นการขัดขวางโต้แย้งการใช้สิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินและบ้านได้แม้ภายหลังจะปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีดังกล่าวว่าไม่ชอบและขอให้เพิกถอนก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องนำสืบพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างคัดค้านของตนในคดีเดิมจนปรากฏเป็นความจริงและศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีดังกล่าวแล้วจึงจะมีผลให้การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านจากการขายทอดตลาดของโจทก์ถูกเพิกถอนไปด้วยตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีถึงที่สุดการที่จำเลยและบริวารยังอยู่ในที่ดินและบ้านหลังจากโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านจากการขายทอดตลาดแล้วถือได้ว่าจำเลยอยู่โดยละเมิดโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆออกจากอสังหาริมทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ5,000บาทโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้เถียงประเด็นนี้จึงถือว่าทรัพย์พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ5,000บาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่22668 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมบ้านเลขที่ 189 ถึง 191 ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าว โดยซื้อจากการขายทอดตลาดของสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 4ตามคำสั่งศาล ปรากฏว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านของโจทก์ดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปแต่จำเลยเพิกถอน เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายเดือนละ 30,000 บาทขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากการขายทอดตลาดโดยมิชอบ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ เดิมที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวถูกยึดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 717/2531 ของศาลชั้นต้นพนักงานเดินหมายส่งคำบังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวทราบโดยมิชอบ เนื่องจากไปปิดคำบังคับที่บ้านเลขที่ 189ถึง 191 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น อันมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ถือว่ายังไม่มีการส่งคำบังคับ การออกหมายบังคับคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลังจากยึดทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งการยึดโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ให้จำเลยทราบแทนที่จะปิดหมายไว้ที่บ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ และการที่ศาลชั้นต้นให้มีการบังคับคดีในระหว่างที่ศาลฎีกายังมิได้มีคำสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาของจำเลย เท่ากับเป็นการไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแทนศาลฎีกาเป็นการไม่ชอบ ทั้งทรัพย์ที่ขายทอดตลาดขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาจริง การขายทอดตลาดจึงไม่ชอบด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ไม่เสียหาย หากเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ5,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 22668 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมบ้านเลขที่ 189 ถึง 191ถนนมะลิวัลย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเดิมที่ดินและบ้านเป็นของจำเลย ซึ่งได้จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ต่อมาธนาคารกรุงเทพ จำกัด ฟ้องจำเลยกับพวกรวม 3 คน ให้ร่วมกันชำระหนี้ ถ้าไม่ชำระให้บังคับจำนองศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระหนี้ ถ้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินและบ้านออกขายทอดตลาด ตามคดีหมายเลขแดงที่ 717/2531คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ธนาคารกรุงเทพ จำกัดขอบังคับคดีซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินพร้อมบ้านของจำเลยนำออกขายทอดตลาด โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวได้โดยจดทะเบียนการซื้อและรับโอนที่ดินพร้อมบ้านถูกต้องแล้วหลังการขายทอดตลาดจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีว่าเป็นการไม่ชอบด้วยเหตุหลายประการขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและเพิกถอนการขายทอดตลาดศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านที่ขายทอดตลาดเป็นคดีนี้
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยชอบหรือไม่เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การของจำเลย คู่ความรับกันข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินและบ้านของจำเลยถูกบังคับคดีโดยนำออกขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลในคดีหมายเลขแดงที่ 717/2531 เพื่อนำเงินจากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ในคดีดังกล่าวโจทก์ในคดีนี้เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านของจำเลยจากการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยมีคำโต้แย้งคัดค้านของจำเลยว่าการบังคับคดีกระทำโดยมิชอบ ขอให้เพิกถอน อันเป็นข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะนำมาวินิจฉัยชี้ขาดตามประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินและบ้านที่โจทก์ซื้อมาได้หรือไม่ หากวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ ศาลย่อมต้องพิพากษายกฟ้องหากวินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้ ศาลย่อมต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่าโจทก์เสียหายเพียงใด ซึ่งค่าเสียหายในกรณีเช่นนี้ย่อมอยู่ในอำนาจของศาลที่จะกำหนดให้ตามความเหมาะสมแก่รูปคดี เนื่องจากตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เสียหายเดือนละ 30,000 บาท โดยโจทก์คาดว่าหากนำที่ดินและบ้านออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่เสียหายหากเสียหายจริงก็ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท โดยต่างฝ่ายต่างมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่แน่นอนขึ้นสนับสนุนข้ออ้างและข้อเถียงของฝ่ายตนคดีมีข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงอีกต่อไป คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยนั้นชอบแล้ว
ปัญหาประการที่สองมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า การบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานำออกประกาศขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้นั้น กระทำโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลซึ่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่วางไว้สำหรับการนี้ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์ที่ดินพร้อมบ้านนำออกขายทอดตลาด โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเข้าสู้ราคาจนเป็นผู้ซื้อได้ในขณะที่ยังไม่มีข้อคัดค้านของจำเลยว่า การบังคับคดีดังกล่าวไม่ชอบ ต้องถือว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านโดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินพร้อมบ้านเนื่องจากจำเลยและบริวารยังคงอยู่ในที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าว อันเป็นการขัดขวางโต้แย้งการใช้สิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินและบ้านได้ แม้ภายหลังจะปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีดังกล่าวว่าไม่ชอบและขอให้เพิกถอนก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องนำสืบพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างคัดค้านของตนในคดีเดิมจนปรากฏเป็นความจริง และศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีดังกล่าวแล้ว จึงจะมีผลให้การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านจากการขายทอดตลาดของโจทก์ถูกเพิกถอนไปด้วยตราบใดที่ยังมิได้มีการพิสูจน์ข้อคัดค้านของจำเลยและศาลยังมิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีถึงที่สุด จำเลยและบริวารยังอยู่ในที่ดินและบ้านหลังจากโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านจากการขายทอดตลาดแล้ว ถือได้ว่าจำเลยอยู่โดยละเมิดโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ มิฉะนั้นการบังคับคดีของศาลก็จะไม่เกิดผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
สำหรับฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายที่ว่า โจทก์เสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ5,000 บาท โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้เถียงประเด็นนี้ จึงถือว่าทรัพย์พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยข้อนี้จำเลยต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share