คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วยความสมัครใจ ทั้งยังรับต่อผู้เสียหายว่าได้เอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริงซึ่งจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธคำรับในข้อนี้ พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันรับฟังลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335, 357 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 100 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยทั้งสี่ต่อจากโทษในคดีอาญาอื่นของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยตามที่ระบุในฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 อายุไม่เกิน 17 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 75 และลดโทษให้ 1 ใน 3ตามมาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 100 บาทแก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาอื่นของศาลชั้นต้น คำขออื่นนอกจากนี้และจำเลยที่ 2 ที่ 4 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3ในข้อหาลักทรัพย์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1และที่ 3 ได้ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3, จ.4, จ.7 และภาพถ่ายหมาย จ.8 ด้วยความสมัครใจและนอกจากคำรับสารภาพดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังมีพยานประกอบคือคำของนายจริต ลอยสมุทร อาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดหนองคันทรงผู้เสียหายที่เบิกความว่า เมื่อพยานไปดูตัวคนร้ายที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตราดได้พูดคุยกัันคนร้ายนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้รับสารภาพว่าได้เอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้นำสืบปฏิเสธความในข้อนี้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงสามารถรับฟังเป็นความจริงได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสาม.

Share