แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องที่ดินชั้นอำเภอเปรียบเทียบ โจทก์จำเลยต่างท้ากันให้เรียกพยานคนกลางมาชี้ขาด ถ้าพยานส่วนมากหรือทั้งหมดให้การว่าเป็นที่ของฝ่ายใด ก็ให้เป็นของฝ่ายนั้น ดังนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องตั้งอนุญาโตตุลาการนอกศาลให้เป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 เพราะเป็นเรื่องอ้างพยานร่วมกัน โดยยังไม่กำหนดให้ใครเป็นผู้ชี้ขาด แต่โจทก์มีอำนาจฟ้องจอให้บังคับตามข้อตกลงชั้นอำเภอได้ คือให้ศาลพิจารณาตามคำพยานที่ตกลงกันไว้นั้น
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2504
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยอาศัยที่ดินของโจทก์แล้วไม่คืนให้ โจทก์ไปร้องอำเภอขอให้เปรียบเทียบ โจทก์จำเลยต่างท้ากันให้เรียกพยานคนกลาง ๕ คนมาชี้ขาด ถ้าพยานทั้งหมดหรือส่วนมากเบิกความว่าเป็นที่ดินของฝ่ายใด ก็ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายนั้น พยานคนกลางทุกคนชี้ขาดว่า เป็นที่ของโจทก์ จำเลยกลับไม่ยินยอม จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นที่ดินของโจทก์ตามคำชี้ขาดของพยานคนกลาง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เป็นที่ของจำเลยแล้วยกให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม พยานคนกลางไม่สุจริต และไม่ปฏิบัติตามสัญญา ข้อตกลงชั้นอำเภอเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อกตลงชั้นอำเภอไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ผูกพันจำเลย และเชื่อว่าเป็นที่ของจำเลยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้อตกลงที่อำเภอเป็นการตั้งอนุญาโตตุลาการนอกศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๑ จึงบังคับได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า กรณีเช่นนี้ไม่เป็นการตั้งอนุญาโตตุลาการนอกศาล เพราะเป็นแต่เรื่องอ้างพยานหลักฐานร่วมกันโดยยังไม่กำหนดให้ใครเป็นผู้ชีขาดหลังจากสืบพยานนั้นๆ แล้ว แต่โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับตามข้อตกลงตามบันทึกที่อำเภอได้ คือ ขอให้ศาลพิจารณาตามคำพยานที่ตกลงกันไว้นั้นได้ ปรากฎว่าตามบันทึกนั้นเป็นคำท้าให้ตั้งพยานคนกลางมาชี้ขาดรวม ๕ คน โดยพยานคนกลางทั้งหมดหรือส่วนมากต้องยืนยันว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร แต่พยานมาให้การที่อำเภอเพียง ๔ คน และใน ๔ คนนี้ ก็ยืนยันเพียง ๒ คนว่า เป็นที่ของโจทก์ จึงไม่เป็นไปตามข้อตกลงและข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าเป็นที่ของจำเลย
พิพากษายืน