คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากจำเลยว่า โจทก์ขอกู้เงินและให้ที่ดินเป็นประกันเงินกู้ก่อนแล้วจึงตกลงไปทำสัญญาขายฝากกันเพื่อให้การประกันมีผลตามกฎหมาย ดังนี้ ไม่ใช่นิติกรรมอำพรางมีแต่การขายฝากเพียงนิติกรรมเพียง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงรับไปจัดหาผลประโยชน์จากที่ดินรายนี้ และฟ้องแย้งเรียกร้องเอาค่าผลประโยชน์ดังกล่าวจากโจทก์ ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวข้อกับฟ้องเดิมของโจทก์ ควรให้แยกไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากที่ดินจากโจทก์ และโอนคืนที่ดินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยจริงตามฟ้อง แต่เจตนาอันแท้จริงโจทก์ขอกู้เงินจำเลย ๒,๕๐๐ บาท ให้ที่ดินเป็นหลักค้ำประกันจึงได้ทำเป็นสัญญาขายฝากกันไว้เป็นนิติกรรมอำพราง และโจทก์ยังตกลงรับไปจัดหาผลประโยชน์จากที่ดินรายนี้ส่งให้จำเลยเดือนละ ๑๒๕ บาททุกเดือน แต่โจทก์ส่งผลประโยชน์นั้นให้จำเลยเพียงเดือนเดียวแล้วติดค้างไม่ส่งเลย จำเลยจึงไม่ยอมรับไถ่การขายฝาก จำเลยฟ้องแย้งขอคิดเอาผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในจำนวนเงินขายฝาก ๒,๕๐๐ บาท ในอัตราร้อยละ ๑.๒๕ บาท ต่อเดือน เวลา ๒ ปี ๑๑ เดือน เป็นเงิน ๑,๐๙๓ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่ได้กู้เงินจำเลย ส่วนที่ดินที่ขายฝากก็เป็นสิทธิของจำเลยตามสัญญาขายฝาก โจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้อง ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคนละเรื่อง ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องโจทก์
วันนัดพร้อม จำเลยรับว่าโจทก์ขอไถ่ถอนการขายฝากก่อนสิ้นกำหนดเวลาการไถ่ถอน แต่จำเลยไม่ยอมเพราะโจทก์ไม่ชำระผลประโยชน์รายเดือน ๆ ละ ๑๒๕ บาท ให้จำเลยตามที่พูกตกลงกันไว้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การฟ้องเอาผลประโยชน์จากโจทก์เป็นประเด็นต่างหากแยกจากคดีนี้ ไม่เกี่ยวข้องกัน จึงให้แยกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิไถ่ถอนได้ให้จำเลยรับเงินค่าไถ่ ๒,๕๐๐ บาท และทำนิติกรรมโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์ไป
จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพราง ซึ่งแท้จริงเป็นสัญญากู้ ควรจะได้สืบพยาน และฟ้องแย้งของจำเลยก็เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิมของโจทก์ ควรจะได้พิจารณาไปด้วยกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานตามประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนิติกรรมนั้นจำเลยว่าโจทก์ขอกู้เงินและให้ที่ดินเป็นประกันเงินกู้ก่อนแล้วจึงตกลงไปทำสัญญาขายฝากกันเพื่อให้การประกันมีผลตามกฎหมาย ดังนี้หาใช่นิติกรรมอำพรางไม่ เพราะนิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยมีแต่ขายฝากเพียงนิติกรรมเดียว การพูดขอกู้เงินเป็นเพียงการพูดจาอันเป็นเหตุนำไปให้ทำสัญญาขายฝากเท่านั้น
เรื่องฟ้องแย้ง ก็เป็นข้อเรียกร้องของจำเลยอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากฟ้องของโจทก์ ไม่เกี่ยวข้อกัน เป็นการเรียกร้องเอาผลประโยชน์แล้วเปลี่ยนเป็นข้อคิดเป็นดอกเบี้ย จึงควนจะแยกไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share