แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เหล็กแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายนั้นเป็นเครื่องมือใช้ในการเจาะปล่อยลมยาง แม้จะไม่มีคมแต่ก็มีลักษณะแหลมยาวถึง 12 เซนติเมตร ดังนั้น การที่จำเลยใช้กำลังจ้วงแทงไปที่บริเวณช่องท้องของผู้เสียหายซึ่งเป็นจุดอ่อนของร่างกาย แม้จ้วงแทงไปเพียงครั้งเดียว หากขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้ถือแฟ้มเอกสารอยู่ที่มือหรือยกแขนขึ้นปิดกั้นได้ทันแล้วเชื่อว่าเหล็กแหลมนั้นจะแทงทะลุเข้าช่องท้องของผู้เสียหาย ทำอันตรายต่อวัยวะสำคัญต่างๆ ภายในช่องท้องของผู้เสียหายได้ ประกอบกับบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับถึงขนาดกระดูกแขนขวาหักย่อมแสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายโดยแรงที่ช่องท้อง ดังนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำของจำเลยได้ว่าเหล็กแหลมที่จำเลยแทงไปนั้นอาจทะลุเข้าช่องท้องไปถูกอวัยวะต่างๆ ภายในช่องท้องที่เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายได้รับบาดเจ็บและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหาใช่มีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายไม่ อีกทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยตระเตรียมเหล็กแหลมของกลางไว้เพื่อหาโอกาสแทงผู้เสียหายด้วยสาเหตุโกรธเคืองที่ผู้เสียหายเป็นตัวแทนฝ่ายนายจ้างไม่เจรจาช่วยเหลือฝ่ายจำเลยให้ได้รับเงินโบนัสพิเศษเพิ่มเติมนั้น เมื่อสบโอกาสจำเลยจึงใช้เหล็กแหลมที่ตระเตรียมไว้จ้วงแทงผู้เสียหาย ย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 288, 289 (4) และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าได้ใช้อาวุธมีด (ที่ถูก เหล็กแหลม) แทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาทำร้ายร่างกาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) จำคุก 1 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 52 (1) ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกมีกำหนด 33 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์และจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งกันฟังยุติได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยต่างรู้จักกันและทำงานอยู่ที่บริษัทไทยบริดจ์สโตน จำกัด ด้วยกัน โดยผู้เสียหายเป็นผู้จัดการโรงงาน ส่วนจำเลยเป็นคนงานฝ่ายผลิตและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้เสียหาย ก่อนเกิดเหตุพนักงานมีข้อพิพาทแรงงานกับบริษัทเกี่ยวกับค่าจ้างและเงินโบนัสประจำปีโดยผู้เสียหายเป็นตัวแทนฝ่ายนายจ้างเจรจากับสหภาพของพนักงานหลายครั้งแล้วยังไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพไม่พอใจผู้เสียหาย ต่อมาตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง หลังจากที่คนงานเข้าแถวเคารพธงชาติและออกกำลังกายตอนเช้าตามปกติแล้ว กำลังทยอยเดินเข้าไปทำงานในโรงงาน ส่วนผู้เสียหายยังยืนพูดคุยปรึกษางานอยู่กับนายจีรศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการแผนและควบคุมการผลิตและนายพิทักษ์ ที่บริเวณหน้าโรงอาหารบนถนนสายหลักของโรงงาน ซึ่งเป็นบริเวณใกล้กับที่คนงานเข้าแถวทยอยเดินเข้าโรงงาน โดยผู้เสียหายยืนถือแฟ้มเอกสารหันหลังให้ประตูทางเข้าโรงงาน ส่วนนายจีรศักดิ์ยืนหันหน้าเข้าโรงงานและนายพิทักษ์ยืนหันหน้าไปทางโรงอาหารตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและภาพถ่ายที่เกิดเหตุที่จำเลยนำชี้อยู่นั้น จำเลยได้เดินเข้ามาทางด้านหลังของผู้เสียหายแล้วใช้มือโน้มตัวผู้เสียหายให้หันกลับมา แล้วใช้เหล็กแหลมตามภาพถ่ายซึ่งเป็นเครื่องมือใช้ในการเจาะปล่อยลมยางที่จำเลยนำสืบรับว่าหัวหน้างานของจำเลยได้มอบให้จำเลยเก็บไว้ใช้งาน ซึ่งจำเลยได้ทำด้ามจับให้ถนัดในการใช้งานและเก็บรักษาไว้ในตู้เก็บของใช้ส่วนตัวของจำเลย (ล็อกเกอร์) ตามภาพถ่าย ซึ่งจำเลยได้นำพกใส่กระเป๋ากางเกงติดตัวมาออกมาแทงผู้เสียหาย 1 ครั้งที่บริเวณช่องท้องแล้วถูกนายจีรศักดิ์และนายพิทักษ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ผู้เสียหายเห็นเหตุการณ์และล็อกตัวจำเลยไว้ได้ทันที ต่อมาเมื่อดาบตำรวจประทีปได้รับแจ้งเหตุจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงงาน จึงเดินทางไปรับตัวจำเลย โดยในชั้นจับกุมได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม แต่ต่อมาในชั้นสอบสวนพันตำรวจโทกิติศักดิ์ พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์การกระทำผิดของจำเลยเข้าข่ายความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจึงแจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแก่จำเลย จำเลยจึงให้การปฏิเสธตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหา ส่วนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถูกของแข็งมีคมแทงถูกที่แขนขวาทำให้กระดูกแขนขวาหักตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า พฤติการณ์การกระทำผิดของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จากคำเบิกความของจำเลยที่รับว่าเหล็กแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายนั้นเป็นเครื่องมือที่หัวหน้างานมอบให้จำเลยไว้ใช้งานและเก็บรักษาไว้ในล็อกเกอร์ของจำเลย ซึ่งสอดคล้องกับรายละเอียดในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ที่จำเลยให้การว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้นำเหล็กแหลมดังกล่าวออกจากล็อกเกอร์ของจำเลยไว้ในกระเป๋ากางเกงของจำเลย เตรียมไปหาโอกาสแทงทำร้ายผู้เสียหายเพื่อสั่งสอนที่ไม่ยอมตกลงจ่ายเงินโบนัสพิเศษตามที่จำเลยกับพวกเรียกร้อง เมื่อจำเลยไปถึงที่เกิดเหตุเห็นผู้เสียหายยืนประชุมลูกจ้างอยู่หน้าแถวลูกจ้างที่เข้าแถวอยู่ จำเลยจึงเดินตรงเข้าไปหาผู้เสียหาย เมื่อประชิดตัวผู้เสียหายจำเลยก็ได้ล้วงเหล็กแหลมดังกล่าวออกจากกระเป๋ากางเกงจ้วงแทงผู้เสียหายทันที 1 ครั้ง โดยเจตนาที่จะแทงที่ท้องของผู้เสียหายแต่เป็นจังหวะพอดีที่ผู้เสยหายยกแขนปิดทำให้ถูกแทงที่แขน ขณะเดียวกันได้มีลูกจ้างคนอื่นเข้ามาล็อกตัวจำเลยดึงออกไปจากผู้เสเยหาย ซึ่งจำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านว่ารายละเอียดตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ถูกต้องตรงไหน แต่อย่างใด อีกทั้งเป็นรายละเอียดคำให้การที่จำเลยให้การไว้ในวันเกิดเหตุนั้นเองจึงเชื่อว่าจำเลยไม่ทันได้เสริมแต่งคำให้การผิดแผกแตกต่างไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจึงมีเหตุให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้ให้การรายละเอียดข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยสัตย์จริงและความสมัครใจของจำเลย โดยไม่มีผู้ใดขู่เข็ญบังคับให้จำเลยให้การเช่นนั้น ทั้งรายละเอียดคำให้การของจำเลยดังกล่าวก็ฟังสอดคล้องกับคำเบิกความของนายจีรศักดิ์และนายพิทักษ์ ประจักษ์พยานผู้ใกล้ชิดและเห็นเหตุการณ์ในขณะที่ยืนคุยอยู่กับผู้เสียหายในขณะเกิดเหตุว่า เห็นจำเลยเดินเข้ามาทางด้านหลังของผู้เสียหายในระยะใกล้ประมาณ 2 เมตร หรือ 3 ถึง 4 ก้าว แล้วจำเลยได้ใช้มือโน้มตัวผู้เสียหายทางด้านหลังให้หันกลังมาแล้วใช้เหล็กแหลมดังกล่าวจ้วงแทงไปที่บริเวณท้องของผู้เสียหาย 1 ครั้ง เมื่อจำเลยดึงมือกลับจะจ้วงแทนผู้เสียหายอีกแต่ถูกนายจีรศักดิ์จับมือไว้และลากตัวจำเลยออกจากผู้เสียหาย แล้วถูกนายพิทักษ์ซึ่งตัวใหญ่กว่าจำเลยล็อกตัวไว้ได้ทันทีจำเลยจึงไม่มีโอกาสแทงผู้เสียหายซ้ำอีกต่างหาก กรณีหาใช่จำเลยมีเจตนาจะแทงผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งไม่ ส่วนที่จำเลยโต้แย้งว่าเหล็กแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายไม่ใช่อาวุธโดยสภาพนั้น เห็นว่า เหล็กแหลมตามภาพถ่าย ส่วนที่เป็นเหล็กแหลมนั้น แม้จะไม่มีคมแต่ก็มีลักษณะแหลมยาวถึง 12 เซนติเมตร ดังนั้น การที่จำเลยใช้กำลังจ้วงแทงไปที่บริเวณช่องท้องของผู้เสียหายซึ่งเป็นจุดอ่อนของร่างกายแม้จ้วงแทงไปเพียงครั้งเดียว หากขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้ถือแฟ้มเอกสารอยู่ที่มือหรือยกแขนขึ้นปิดกั้นได้ทันแล้ว เชื่อว่าเหล็กแหลมนั้นจะแทงทะลุเข้าช่องท้องของผู้เสียหายทำอันตรายต่อวัยวะสำคัญต่างๆ ภายในช่องท้องของผู้เสียหายได้ประกอบกับบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับถึงขนาดกระดูกแขนขวาหักย่อมแสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายโดยแรงที่ช่องท้อง ดังนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำของจำเลยได้ว่าเหล็กแหลมที่จำเลยแทงไปนั้นอาจทะลุเข้าช่องท้องไปถูกอวัยวะภายในช่องท้องต่างๆ ที่เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายได้รับบาดเจ็บและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหาใช่มีเพียงเจตนาจะทำร้ายผู้เสียหายตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งไม่ อีกทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยตระเตรียมเหล็กแหลมของกลางไว้เพื่อหาโอกาสแทงผู้เสียหายด้วยสาเหตุโกรธเคืองที่ผู้เสียหายเป็นตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ไม่เจรจาช่วยเหลือฝ่ายจำเลยให้ได้รับเงินโบนัสพิเศษเพิ่มเติมนั้น เมื่อสบโอกาสจำเลยจึงใช้เหล็กแหลมที่ตระเตรียมไว้จ้วงแทงผู้เสียหายดังกล่าวมาแล้วย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย เมื่อจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายยกแขนขึ้นบังได้ทันการ จึงถูกแทงที่แขนและมีผู้อื่นเข้าจับกุมจำเลยได้ทันทีก่อนที่จำเลยจะมีโอกาสแทงผู้เสียหายซ้ำอีกผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยนั้นเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต แต่ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 33 ปี 4 เดือน ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่ศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษยืน