แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกนั้น เป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่รถทุกเส้นทางที่มาบรรจบทางร่วมทางแยกจะต้องลดความเร็วลงให้อยู่ในอัตราความเร็วต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายอันอาจเกิดจากการชนกันระหว่างรถที่กำลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราสูงโดยขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความรั้งรอ ไม่ว่าจะมีรถในทางเดินรถทางโทแล่นมาถึงพร้อมกันหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วมที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง ทั้งที่ควรลดความเร็วลงเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุขึ้น ทำให้ชนกับรถคันที่จำเลยที่ 2 ขับมา เป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บ ย่อมถือได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 21, 43, 78, 152, 157, 160 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 21, 43, 152, 157 ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 จำคุกคนละ 3 ปี และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคสองให้จำคุก 3 เดือน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่า เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุได้เกิดในบริเวณสี่แยกอันเป็นทางตัดกันระหว่างถนนมิตรภาพและถนนแจ้งสนิท ในท้องที่ตำบลบ้านไผ่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมื่อเวลาประมาณ 6 นาฬิกา ของวันที่2 เมษายน 2528 จุดที่ชนกันระหว่างรถยนต์บรรทุกทั้งสองคันอยู่ในช่องเดินรถร่วมกันเมื่อจะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุโดยรถคันที่จำเลยที่ 1ขับเพิ่งล้ำแนวเขตในช่องเดินรถของตนเข้าสู่ทางร่วมซึ่งอยู่ในบริเวณสี่แยก ขณะที่ส่วนหัวรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับแล่นชนส่วนข้างด้านซ้ายค่อนมาทางท้ายรถตรงระดับล้อหลังของรถคันที่จำเลยที่ 2 ขับซึ่งได้แล่นผ่านช่องเดินรถร่วมกันของเส้นทางรถที่ตัดผ่านทางด้านขวามาแล้วและกำลังผ่านช่องเดินรถร่วมที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเส้นทางรถคันของจำเลยที่ 1 จากแรงชนของหัวรถคันของจำเลยที่ 1 เป็นผลให้รถคันของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นรถยนต์บรรทุกหกล้อถึงกับหมุนปัดไปทางขวาโดยหัวรถหันกลับจากเส้นทางรถที่ขับมาห่างจากจุดชนประมาณ 12 เมตร อันเป็นผลให้นายสาย จันทร์รอด ซึ่งนั่งมาในรถพลัดตกลงไปและถูกล้อหลังทับศีรษะถึงแก่ความตาย ตามหลักฐานแผนที่แสดงบริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยบันทึกการตรวจของเจ้าพนักงานและภาพถ่ายประกอบบันทึกการตรวจหมาย จ.3 ถึง จ.5 เป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นผลจากการแล่นเข้าชนของรถคันที่จำเลยที่ 1ขับมาด้วยความเร็วสูง และหักล้างข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยที่ 1ที่ว่าขับรถมาในอัตราความเร็วต่ำก่อนเกิดเหตุจริงอยู่แม้ถนนเส้นทางรถคันของจำเลยที่ 1 จะเป็นทางเอก และเส้นทางรถด้านที่ตัดผ่านเป็นทางโทโดยมีป้ายสัญญาณจราจร “หยุด” ปักไว้ก็ตามแต่การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกนั้น เป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่รถทุกเส้นทางที่มาบรรจบทางร่วมทางแยกที่จะต้องลดความเร็วลงให้อยู่ในอัตราความเร็วต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายอันอาจเกิดจากการชนกันระหว่างรถที่กำลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราสูงโดยขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความรอรั้ง ไม่ว่าจะมีรถในทางเดินรถทางโทแล่นมาถึงพร้อมกันหรือไม่ ซึ่งน่าจะมิใช่เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 71 ดังที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยสำหรับกรณีเหตุที่เกิดขึ้นนี้ ก็ปรากฏว่ารถคันที่จำเลยที่ 2ขับมา ได้แล่นล้ำจากช่องเดินรถเข้ามาในทางร่วมโดยผ่านช่องเดินรถที่ตัดผ่านทางด้านขวามาแล้วและกำลังเข้าสู่ช่องเดินรถร่วมทางด้านซ้ายซึ่งเป็นช่องเดินรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับมาขณะนั้นตามแผนที่เกิดเหตุซึ่งแสดงจุดที่ชนเมื่อวัดระยะที่จำเลยที่ 1เพิ่งแล่นเข้าสู่ช่องเดินรถร่วมที่เกิดเหตุได้เพียงระยะ 5 เมตรแต่รถคันที่ถูกชนได้แล่นล้ำเข้ามาในเขตทางร่วมเป็นระยะ 9 เมตรและกำลังจะเลยผ่านช่องเดินรถร่วมที่เกิดเหตุขณะถูกชนที่กระบะข้างซ้ายค่อนมาทางท้ายรถ เป็นข้อเท็จจริงที่แสดงว่ารถคันที่จำเลยที่ 2 ขับมาได้แล่นเข้ามาในเขตทางร่วมทางแยกแล้ว ข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่ามองไม่เห็นรถทางด้านขวามือจึงไม่มีเหตุผลรับฟังแต่อย่างใด และจากการตรวจร่องรอยบริเวณที่เกิดเหตุของพนักงานสอบสวนซึ่งไม่พบรอยห้ามล้อปรากฏอยู่ รวมทั้งจุดที่รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับ ยังคงแล่นไปจอดจากจุดที่ชนอีกถึง 34 เมตรตามที่ปรากฏในแผนที่เกิดเหตุเป็นข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าภัยพิบัติบนท้องถนนในครั้งนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1ด้วย เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วมที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง ทั้งที่ควรลดความเร็วลงเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุขึ้นคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่เห็นว่าเหตุมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์