คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2741/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ถูกกระทำละเมิดได้ยื่นฟ้องโดยบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ฟ้องคดีแทน แม้ขณะยื่นฟ้องบิดามิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาโจทก์ ก็เป็นเพียงข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถในชั้นยื่นฟ้องซึ่งอาจแก้ไขให้ถูกต้องบริบูรณ์ได้ ดังนั้นเมื่อบิดามารดาโจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกันในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นแล้วเหตุบกพร่องในเรื่องความสามารถของผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมหมดไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายวรพลชอบน้ำตาล จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างประจำของเทศบาลเมืองชลบุรีจำเลยที่ 2 โดยมีหน้าที่ขับรถยนต์ขนขยะหมายเลขทะเบียน ชลบุรี 0428ของจำเลยที่ 2 เพื่อขนขยะตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2525จำเลยที่ 1 ได้ขับขี่รถยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี 0428 ซึ่งมีสภาพไม่ปกติออกขนขยะตามคำสั่งและตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2ไปตามถนนเจตน์จำนงค์มาถึงบริเวณทางแยกที่ตัดกับถนนโปษยานนท์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ไม่ดูทางข้างหน้า เมื่อเห็นรถที่เด็กหญิงนวลทิพย์ วีระวณิชพัฒนา ขับขี่อยู่ข้างหน้าจำเลยที่ 1 จะต้องหยุดรถ แต่ห้ามล้อรถจำเลยที่ 1 ใช้การไม่ได้รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับมาจึงไม่อาจหยุดได้ และได้วิ่งพุ่งเข้าชนรถจักรยานสองล้อที่เด็กหญิงนวลทิพย์ วีระวณิชพัฒนา ขับขี่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งซ้อนท้ายรถจักรยานสองล้อดังกล่าวได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส เด็กหญิงนวลทิพย์ วีระวณิชพัฒนา กระเด็นออกจากรถได้รับอันตรายแก่กาย รถจักรยานสองล้อได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1ได้ถูกดำเนินคดีอาญา และศาลแขวงชลบุรี ได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1รวมเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับทั้งสิ้น 433,024.00 บาท จำเลยที่ 2นายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วย ค่าดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 30,961.18 บาท รวมกับต้นเงินค่าเสียหายเป็นเงิน 463,988.15 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้โจทก์ 463,988.15 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในต้นเงิน 433,024.00 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองให้การว่า เด็กชายเผ่าพันธ์ชอบน้ำตาล จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายวรพล ชอบน้ำตาลหรือไม่ไม่รับรอง วันเกิดเหตุอุปกรณ์ห้ามล้อรถของจำเลยใช้การได้จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวัง แต่เด็กหญิงนวลทิพย์วีระวณิชพัฒนา ขับขี่รถจักรยานสองล้อ โดยมีโจทก์ซ้อนท้ายด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและด้วยความคะนองได้หักหัวรถจักรยานสองล้อออกจากริมถนนเข้ามาในช่องทางเดินรถที่จำเลยที่ 1แล่นอยู่ในระยะกระชั้นชิด จำเลยที่ 1 เหยียบห้ามล้อทันที แต่โดยที่รถจักรยานสองล้อได้แล่นเข้าหารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในระยะใกล้ชิดและกะทันหันจึงเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะบังคับรถหลบรถจักรยานสองล้อได้ทัน จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายหน้าที่เก็บขยะในถนนสายอื่น การที่จำเลยที่ 1 ขับรถเก็บขยะเข้าไปในถนนโปษยานนท์ซึ่งอยู่นอกเส้นทางที่กฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการกระทำนอกทางการที่จ้าง และค่าเสียหายก็ไม่มากเท่าที่ฟ้อง ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์จำนวน187,108 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่20 ตุลาคม 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 106,008 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2525 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่าย 3 ข้อ คือ อำนาจฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ เหตุเกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ และประเด็นจำนวนค่าสินไหมทดแทนสำหรับปัญหาอำนาจฟ้อง ปรากฏว่านายวรพล ชอบน้ำตาลได้ยื่นฟ้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายเผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาลโจทก์ผู้เป็นบุตร ในขณะยื่นฟ้องนายวรพลบิดายังมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็กชายเผ่าพันธ์ แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนายวรพลกับนางไพเราะ บิดามารดาโจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกันปรากฏตามสำเนาทะเบียนสมรส เอกสารหมาย จ.2 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลนับแต่วันสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557(1) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนนั้นเห็นว่า อำนาจฟ้องเป็นของเด็กชายเผ่าพันธ์โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในเหตุละเมิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง เป็นแต่ว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถโดยยังเป็นผู้เยาว์ซึ่งการเสนอข้อหาต่อศาลจะต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้เสนอข้อหาต่อศาลแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(12)(13), 56เมื่อในขณะฟ้องคดีนายวรพลผู้เป็นบิดายังมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาโจทก์ ก็เป็นเพียงข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถในชั้นยื่นฟ้องซึ่งอาจมีการแก้ไขเสียให้ถูกต้องบริบูรณ์ได้ ดังนั้นเมื่อได้มีการสมรสอันทำให้นายวรพลมีฐานะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายเผ่าพันธ์โจทก์แล้ว เหตุบกพร่องในความสามารถของผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมหมดไปตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าวหาได้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ในฐานะผู้ถูกทำละเมิดดังข้อฎีกาของฝ่ายจำเลยไม่ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1608/2509 ระหว่างนายประสงค์ รักษาจันทร์ ในฐานะผู้ปกครองเด็กชายสุชาติรักษาจันทร์ บุตรโจทก์ เด็กหญิงกิมไล้ แซ่โค้ว กับพวก จำเลยฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น เห็นว่า จำนวนค่าเสียหายแต่ละรายการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เป็นการเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุสมควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอย่างอื่น”
พิพากษายืน

Share