แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองจะเป็นการขายโดยวิธีปลอดจำนอง แต่การบังคับจำนองดังกล่าวไม่เป็นการทำให้หนี้ของจำเลยที่มีอยู่ต่อผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้และผู้รับจำนองระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๔๔ (๕) เนื่องจากคดีนี้ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ฟ้องบังคับจำนองแก่ผู้จำนองตามมาตรา ๗๒๘ หรือเป็นการฟ้องบังคับจำนองแก่ผู้รับโอนทรัพย์ที่จำนองตามมาตรา ๗๓๕ และมีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง คดีนี้โจทก์เป็นเจ้าหนี้สามัญฟ้องคดีแล้วไปยึดทรัพย์ที่ติดจำนองและนำไปขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองเท่านั้น เช่นนี้ ในระหว่างผู้ร้องและจำเลย ผู้ร้องจึงยังมีสิทธิตามสัญญาจำนองในฐานะผู้รับจำนองและเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยทำกับรับเงินไปจากผู้ร้องและยังไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้กับผู้ร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์และเจ้าหนี้สามัญรายอื่น
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 25625 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 จะดำเนินการขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า จำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินผู้ร้องและนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่ผู้ร้องเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ต่อมาผู้ร้องได้รับหนังสือจากเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองและจะดำเนินการขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ จึงให้ผู้ร้องส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาจำนองพร้อมสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องได้ส่งต้นฉบับเอกสารแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว หลังจากนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยวิธีปลอดการจำนอง เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปในราคา 6,600,000 บาท จำเลยที่ 2 ค้างชำระหนี้แก่ผู้ร้องนับถึงวันยื่นคำร้องในคดีนี้เป็นต้นเงิน 4,647,070.48 บาท ดอกเบี้ย 914,772.64 บาท ค่าเบี้ยประกันภัยทรัพย์จำนอง 9,283.32 บาท รวมเป็นเงิน 5,571,126.44 บาท ขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิกันส่วนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยวิธีปลอดจำนองแล้วคือ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ได้และค่าเบี้ยประกันภัยเป็นหนี้สามัญ มิใช่หนี้บุริมสิทธิ ผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในส่วนนี้ก่อนโจทก์และเจ้าหนี้รายอื่น ขอให้ยกคำร้องขอกันส่วนในหนี้ค่าดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 จนถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องและค่าเบี้ยประกันภัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามคำร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายเพียงว่า ผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในส่วนที่เกิดขึ้นภายหลังวันขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยวิธีปลอดจำนองคือ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ได้หรือไม่ เห็นว่า แม้การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้จะเป็นการขายโดยวิธีปลอดจำนองตามความประสงค์ของผู้ร้องก็ตาม แต่การบังคับจำนองไม่เป็นการทำให้หนี้ของจำเลยที่มีอยู่ต่อผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้และผู้รับจำนองนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (5) เนื่องจากในคดีนี้ผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ฟ้องบังคับจำนองแก่ผู้จำนองตามมาตรา 728 หรือเป็นการฟ้องบังคับจำนองแก่ผู้รับโอนทรัพย์ที่จำนองตาม มาตรา 735 และมีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง โดยในคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญฟ้องคดีแล้วไปยึดทรัพย์ที่ติดจำนองและนำไปขายทอดตลาด โดยปลอดจำนองเท่านั้น เช่นนี้ในระหว่างผู้ร้องและจำเลย ผู้ร้องจึงยังมีสิทธิตามสัญญาจำนองในฐานะผู้รับจำนองและเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยทำกับรับเงินไปจากผู้ร้องและยังไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้กับผู้ร้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ โดยผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์และเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ