คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ไปรษณียนิเทศ พ.ศ. 2524 ที่ใช้บังคับในขณะนั้นข้อ 351 กำหนดว่า ในกรณีนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับการสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่า บุคคลต่อไปนี้เป็นผู้แทนของผู้รับคือ บุคคลซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือสำนักทำการงานของผู้รับ เมื่อปรากฏว่าการส่งแบบแจ้งการประเมินโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับได้ส่งไปยังสถานที่อันเป็นสำนักทำการงานของผู้รับซึ่งได้รื้อถอนไปก่อนแล้วทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เซ็นรับเอกสารแทนผู้รับเป็นใครเกี่ยวพันกับผู้รับอย่างไร และการเซ็นรับกระทำที่อาคารหลังใดเช่นนี้ แม้ผู้รับจะยังมิได้จดทะเบียนเลิกห้างหรือแจ้งย้ายภูมิลำเนาไปจากเดิมก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าการแจ้งการประเมินดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการแจ้งการประเมินตามหนังสือที่ต.1/1041/2/01933-01934 ฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2526 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการอยู่ด้วยรับอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2524 ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางให้พิพากษาและมีคำสั่งให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่าการแจ้งการประเมินตามหนังสือที่ต.1/1041/2/01933-01934 ฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2526 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่15 ตุลาคม 2524 ไว้พิจารณาต่อไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลถูกเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1ประเมินให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี พ.ศ. 2521 เพิ่มเป็นเงิน968,935.24 บาท ตามหนังสือที่ ต.1/1041/2/01933 ลงวันที่ 26สิงหาคม 2524 และสำหรับปี พ.ศ. 2522 ถูกประเมินให้เสียเพิ่มเป็นเงิน 1,188,862.93 บาท ตามหนังสือที่ ต.1/1041/2/01934 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2524 โจทก์จึงได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการอยู่ด้วยผู้หนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2524 ปรากฏตามสำเนาคำอุทธรณ์เอกสารหมาย จ.3แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ปรากฏตามหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2530 เอกสารหมาย จ.7 อ้างว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2524 อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการยื่นเกินกำหนดเวลาตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร ปัญหาในชั้นอุทธรณ์มีว่า การแจ้งการประเมินตามหนังสือที่ ต.1/1041/2/01933-01934 ฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2524 ของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ได้ความจากนายวิวัฒน์ ศิริชาติชัย พยานโจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ว่า ห้างโจทก์เป็นปั๊มน้ำมันตั้งอยู่ที่เลขที่ 151 ถนนเจริญเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวันกรุงเทพมหานคร ซึ่งบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ก่อสร้างให้โจทก์เช่า ต่อมาบริษัทดังกล่าวเห็นควรเลิกกิจการ จึงรื้อปั๊มน้ำมันดังกล่าวออกไปในเดือนมกราคม 2524 โจทก์จึงได้ขนย้ายสิ่งของและย้ายคนของโจทก์ออกไป นายสมนึก เกียรติพงษ์ พยานโจทก์ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทดังกล่าวก็เบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของนายวิวัฒน์ดังกล่าว นอกจากนี้ปรากฏจากเอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 51 ว่าร้อยโทประจักษ์ ลอยพิมาน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากรของจำเลยได้ทำบันทึกลงวันที่ 13 สิงหาคม 2524 ว่า ได้ไปตรวจ ณ สถานที่ตั้งปั๊มน้ำมันของโจทก์แล้วปรากฏว่าปั๊มดังกล่าวรื้อถอนออกไปประมาณปีเศษแล้วปัจจุบันปลูกสร้างตึกแถวขึ้นมาแทน จึงฟังได้ว่าปั๊มน้ำมันดังกล่าวของโจทก์ได้ถูกรื้อถอนออกไปตั้งแต่เดือนมกราคม 2524 ดังที่โจทก์นำสืบ
สำหรับการส่งแบบแจ้งการประเมินตามหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวนั้น ได้ความจากนายประเสริฐ สำราญรมย์ พยานจำเลยซึ่งเป็นบุรุษไปรษณีย์ว่า พยานเป็นผู้ส่งเอกสารดังกล่าวให้โจทก์เมื่อวันที่31 สิงหาคม 2524 โดยมีหญิงชื่อสุภาพรเป็นผู้ลงชื่อในใบตอบรับตามเอกสารหมาย ล.1 ลำดับที่ 80 พยานปากนี้รับว่าปั๊มน้ำมันของโจทก์เลิกกิจการแล้ว และพยานไม่ได้สอบถามว่าผู้ลงชื่อมีความเกี่ยวพันกับโจทก์ ซึ่งเป็นผู้รับอย่างไร ซึ่งตามปกติบุรุษไปรษณีย์ต้องถามเพื่อให้ผู้เซ็นรับลงไว้ในช่องที่ว่าเกี่ยวพันกับผู้รับอย่างไรเมื่อเป็นดังนี้ใบตอบรับจึงมิได้ระบุว่าหญิงที่ชื่อสุภาพรซึ่งลงชื่อรับเอกสารดังกล่าวเกี่ยวพันกับโจทก์อย่างไร การส่งแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวเป็นการส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ จึงต้องบังคับตามไปรษณียนิเทศ พ.ศ. 2524 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 ซึ่งใช้บังคับขณะพิพาทกันในคดีนี้ ไปรษณียนิเทศดังกล่าวข้อ 351 กำหนดว่า ในกรณีนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับ การสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่าบุคคลต่อไปนี้เป็นผู้แทนของผู้รับคือบุคคลซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือน หรือที่สำนักทำการงานของผู้รับ เจ้าหน้าที่รับรองหรือผู้ดูแลของโรงแรมหรืออาคารผู้ทำหน้าที่เวรรับหรือส่งหรือเวรรักษาการณ์ของสำนักงานโรงเรียนและหน่วยทหาร แต่การส่งแบบแจ้งการประเมินในกรณีนี้ไม่อาจทราบได้ว่าผู้เซ็นรับเอกสารนี้มีความเกี่ยวพันกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับอย่างไรทั้ง ๆ ที่บุรุษไปรษณีย์ผู้ส่งมีหน้าที่ต้องให้ผู้เซ็นรับกรอกข้อความในช่องที่ว่าเกี่ยวพันกับผู้รับอย่างไรแต่ก็หาได้กระทำไม่ ตามใบตอบรับก็ระบุไว้ชัดว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจวิวัฒน์บริการเป็นผู้รับและข้อเท็จจริงฟังได้ชัดว่าขณะนายประเสริฐส่งเอกสารดังกล่าวให้โจทก์นั้น ได้มีการรื้อถอนปั๊มน้ำมันอันเป็นสำนักงานของโจทก์ไปแล้ว เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้ฟังได้ว่าผู้เซ็นรับเอกสารนั้นเป็นใคร เกี่ยวพันกับโจทก์อย่างไร ทั้งไม่ปรากฏว่าการเซ็นรับกระทำที่อาคารหลังใด จึงฟังไม่ได้ว่าการแจ้งการประเมินตามหนังสือที่ ต.1/1041/2/01933-01934 ฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2524 ของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเลิกห้างทั้งมิได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ตั้งปั๊มน้ำมันใหม่หาทำให้การส่งเอกสารดังกล่าวที่ไม่ชอบกลายเป็นการส่งที่ชอบได้ไม่…”
พิพากษายืน

Share