คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ส. ปลูกบ้านพิพาทลงบนที่ดินของผู้ร้องทั้งสามเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน ในขณะที่ผู้ร้องทั้งสามมีอายุไม่เกิน7 ปี ไม่มีรายได้อะไร ต้องอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของ ส.และจำเลยผู้เป็นมารดาทั้งเงินที่ใช้ปลูกบ้านก็เป็นของส. และจำเลย พอจะถือได้ว่าบ้านพิพาทปลูกโดยผู้ร้องทั้งสามยินยอม กรณีเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109บ้านพิพาทไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินอันจะถือว่าเป็นของผู้ร้องทั้งสาม ผู้ร้องทั้งสามจึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ให้จำเลยชำระเงิน 152,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายใน 3 ปี จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงนำยึดบ้านเลขที่ 366/1 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา เพื่อขายทอดตลาด
ผู้ร้องทั้งสามร้องขัดทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “นายสนิท รอบคอบ กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2514 อยู่กินด้วยกันเกิดบุตร 3 คน คือผู้ร้องทั้งสามเมื่อ พ.ศ. 2518 นายสนิทได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1467 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แล้วนายสนิทได้ปลูกบ้านพิพาทเลขที่ 366/1 ลงในที่ดินดังกล่าวในปีเดียวกัน ใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันของนายสนิท จำเลยและผู้ร้องทั้งสาม ปรากฏตามเอกสารหมาย ร. 1ถึง ร.6 ปัญหามีว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าขณะนายสนิทปลูกบ้านพิพาทใน พ.ศ. 2518 ผู้ร้องทั้งสามยังมีอายุไม่เกิน 7 ปี ไม่มีรายได้อะไร ต้องอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของนายสนิทและจำเลยผู้เป็นบิดามารดา จึงเชื่อว่าเงินที่ใช้ในการปลูกบ้านพิพาทเป็นเงินของนายสนิทและจำเลย นายสนิทปลูกบ้านพิพาทเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน พอจะถือได้ว่าปลูกโดยผู้ร้องทั้งสามรู้เห็นยินยอมด้วย กรณีเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 บ้านพิพาทจึงไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินอันจะถือว่าเป็นของผู้ร้องทั้งสามผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ผู้ร้องทั้งสามย่อมไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์บ้านพิพาทที่โจทก์นำยึด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share