แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรจากการประเมินของโจทก์ซึ่งถึงที่สุดแล้วเป็นจำนวนเงิน 3,094,123.24 บาท ต่อมาโจทก์ตรวจพบและทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2ตามคำพิพากษาเป็นเงินประมาณ 384,610 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2ยังมิได้ชำระให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์จึงให้นายอำเภอเมืองนครปฐมมีหนังสือแจ้งอายัดหนี้ดังกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองและเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยห้ามจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้โจทก์และไม่ยอมบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2ให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 และแก่โจทก์ แต่ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1ตกเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 214,750 บาท จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำให้การขอหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาคดีทั้งสองดังกล่าวในคดีนี้ ดังนี้เมื่อจำเลยทั้งสองต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วซึ่งกันและกันเป็นหนี้เงินเหมือนกัน ทั้งเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดจะชำระแล้วด้วยกันจึงเป็นหนี้ที่สามารถนำมาหักกลบลบกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 การที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่จะต้องชำระให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1ไม่ใช่สิทธิบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 1เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ จึงขอให้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในนามของโจทก์เพื่อบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2เช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ซึ่งตามมาตรา 236 จำเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใด ๆ ย่อมจะยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ทั้งนั้น เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว ในคดีนี้ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 จึงยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่กับจำเลยที่ 1ขึ้นต่อสู้โจทก์ โดยขอหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 และ 342 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่จะต้องชำระแก่โจทก์ ได้แก่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าประจำ พ.ศ. 2527และ พ.ศ. 2528 เป็นเงิน 3,098,120 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้และไม่มีทรัพย์สินอันจะพึงยึดชำระหนี้ได้ คงมีแต่สิทธิในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน384,610 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2529ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าว จำเลยที่ 1 เพิกเฉย ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ ขอให้โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2529 ของศาลชั้นต้น ในนามโจทก์แทนจำเลยที่ 1เพื่อบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวแจ้งยอดหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2529 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 2 จึงยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 การฟ้องคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2535 ของศาลชั้นต้นซึ่งคำนวณแล้วเป็นเงิน 214,750 บาท เมื่อนำไปหักกลบลบหนี้ที่จำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1255/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคำนวณแล้วเป็นเงิน 376,500 บาทคงเป็นยอดหนี้ที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องแทนจำเลยที่ 1 ได้เพียง161,750 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ในนามของโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1255/2529 ของศาลชั้นต้น แต่ให้หักกลบลบหนี้ที่จำเลยที่ 1 มีต่อจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2535 ของศาลชั้นต้น โดยได้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2535
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ให้หักกลบลบหนี้ที่จำเลยทั้งสองมีต่อกัน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2529 และ 137/2535ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากคำฟ้องคำให้การจำเลยที่ 2 และจากพยานหลักฐานโจทก์กับจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1เป็นหนี้ค่าภาษีอากรจากการประเมินของโจทก์ซึ่งถึงที่สุดแล้วเป็นจำนวนเงิน 3,094,123.24 บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีจำนวนดังกล่าวแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ตอมาประมาณเดือนมีนาคม 2530โจทก์ตรวจพบและทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2529 ของศาลชั้นต้นเป็นเงินประมาณ 384,610 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ยังมิได้ชำระให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์จึงให้นายอำเภอเมืองนครปฐมมีหนังสือแจ้งอายัดหนี้ดังกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองและเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยห้ามจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้โจทก์และไม่ยอมบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 และแก่โจทก์ แต่เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2535 ก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2535 ของศาลชั้นต้น เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 214,750 บาท จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำให้การขอหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาคดีทั้งสองดังกล่าวในคดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 จะขอหักกลบลบหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วซึ่งกันและกันและกันและเป็นหนี้เงินเหมือนกันทั้งเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดจะชำระแล้วด้วยกัน จึงเป็นหนี้ที่สามารถนำมาหักกลบลบกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 การที่โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่จะต้องชำระให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ใช้สิทธิบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในนามของโจทก์เพื่อบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 เช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233และในกรณีเช่นนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 236 บัญญัติไว้ว่า “จำเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใด ๆ ท่านว่าจะยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ทั้งนั้น เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว” ในคดีนี้ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 2ตามคำพิพากษาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 จึงยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่กับจำเลยที่ 1 ขึ้นอยู่สู้โจทก์ โดยขอหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 และ 342 ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น