คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2731/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 32, 43(4), 70, 148,157, 162 และขอให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 32, 43(4), 70, 148, 157 และมาตรา 162 อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ประกอบด้วยมาตรา 90 อันมีโทษหนักที่สุดเป็นให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี และให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยเสียด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวผู้ตาย เป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิดจำเลยจึงห้ามล้อกะทันหันแต่รถไม่หยุดในทันทีและเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถ เป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลยตามฟ้อง เพราะร้อยตำรวจเอกวินัย สุขรัศมี เบิกความยืนยันอยู่ว่า รถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าห้ามล้อให้รถหยุดกะทันหัน รถจะไม่หยุดทันทีต้องเคลื่อนไปอีกประมาณ 5 เมตร จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share