คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ม.เป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ ม.ทำกับโจทก์ จำเลยรับโอนที่นาพิพาทจาก ม. ย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ ม.มีอยู่ คือมีฐานะเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์สืบต่อจาก ม. เท่านั้น จะถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ไม่ได้ จนกว่าจำเลยจะได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แต่ตามฟ้องและคำให้การไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะการยึดถือดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีทางที่จะอ้างว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ๑ แปลง ได้ให้ผู้อื่นเช่าทำตลอดมา ต่อมาหลังจากผู้เช่าเลิกทำแล้ว จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อ ๔ ปีเศษมานี้ จำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากนายมนัส ศุภสมบูรณ์ จำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของด้วยความสงบและเปิดเผยมาเป็นเวลานานถึง ๔ ปีเศษแล้ว โจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี ขาดอายุความ น.ส. ๓ ตามสำเนาท้ายฟ้องปลอม
ศาลชั้นต้นฟังว่า น.ส.๓ ของที่พิพาทได้ออกมาโดยถูกต้องตามกฎหมายที่พิพาทเป็นของโจทก์ นายมนัสได้เช่าที่พิพาทจากโจทก์และนำที่พิพาทไปขายให้จำเลยเข้าครอบครองเข้าทำนาตลอดมา แม้จำเลยจะซื้อโดยสุจริต จำเลยผู้รับโอนก็มีสิทธิเท่านายมนัสผู้โอน จำเลยจะอ้างการซื้อและการครอบครองของตนมาทำลายสิทธิโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ เมื่อถือว่าจำเลยแบ่งการครอบครองจากโจทก์ไม่ได้ ปัญหาเรื่องอายุความจึงไม่มีพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทมี น.ส.๓ ออกให้แก่นายมนัส ศุภสมบูรณ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นายมนัสทำสัญญาจดทะเบียนขายฝากที่พิพาทให้แก่โจทก์ ครบกำหนดนายมนัสไม่ไถ่คืน หลังจากนั้นนายมนัสได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๓ นายมนัสนำที่พิพาทไปขายให้แก่จำเลยโดยทำสัญญาซื้อขายกันเอง จำเลยชำระราคาที่ดินแก่นายมนัสยังไม่ครบ ขาดอีก ๒,๐๐๐ บาท เพราะนายมนัสอพยพไปอยู่ที่อื่นเสียก่อน จำเลยเข้าทำนาพิพาทนับแต่ซื้อเป็นต้นมา ปี ๒๕๑๗ จำเลยเข้าไถทำนาพิพาท จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์มานานถึง ๔ ปีเศษ ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องแล้ว เห็นว่านายมนัสเป็นเพียงผู้ถือครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่นายมนัสทำกับโจทก์ จำเลยผู้รับโอนที่นาพิพาทจากนายมนัสย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่นายมนัสมีอยู่ คือ มีฐานะเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์สืบต่อจากนายมนัสเท่านั้น จะถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ไม่ได้ จนกว่าจำเลยจะได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ กล่าวคือต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนโจทก์ต่อไป แต่ตามฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จำเลยจึงไม่มีทางที่จะอ้างว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ได้
พิพากษายืน

Share